
คุณแม่มักจะมีข้อสงสัยระหว่างมาฝากครรภ์คือ เรื่องของการฉีดวัคซีนใดมีความจำเป็นและวัคซีนใดห้ามให้ระหว่างการตั้งครรภ์บ้าง วันนี้จึงได้รวบรวมเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนระหว่างการตั้งครรภ์เบื้องต้นมาฝากคุณแม่ให้ค่ะ
วัคซีนที่แนะนำให้ฉีดสำหรับทุกการตั้งครรภ์ มี 2 ชนิด ได้แก่
1. วัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (Td) คำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขสำหรับการฉีดวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (Td)
– กรณีที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (Td) มาก่อน แนะนำให้ฉีด 3 เข็ม ที่ 0,1,7 เดือน
– กรณีที่เคยได้รับวัคซีนคอตีบและบาดทะยักครบ 3 เข็มมาก่อน
- เข็มสุดท้ายไม่เกิน 10 ปี ไม่จำเป็นต้องรับวัคซีนกระตุ้น
- เข็มสุดท้ายเกิน 10 ปี กระตุ้นด้วย Td1 เข็ม
สำหรับวัคซีนคอตีบบาดทะยักและไอกรน (Tdap) จะมีการเพิ่มวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไอกรน (Pertussis) ด้วย เนื่องจากโรคไอกรนมีอุบัติการณ์การเกิดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี จึงมีคำแนะนำดังนี้
– ให้รับวัคซีนคอตีบบาดทะยักและไอกรน (Tdap) 1 เข็มที่อายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ สำหรับทุกๆการตั้งครรภ์
– กรณีต้องรับวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (Td) อยู่แล้ว ให้ฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักและไอกรน (Tdap) แทนวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก (Td) เข็มที่ต้องฉีดในช่วง 27-36 สัปดาห์
– หากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนคอตีบบาดทะยักและไกรน (Tdap) ระหว่างการตั้งครรภ์ให้มีการฉีดหลังคลอดทันที 1 เข็ม
**ผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน อาจมีอาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีดหรือมีไข้ได้**
2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Influenza vaccine, inactivated type) กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดก่อนช่วงระบาดในแต่ละปี (ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน) โดยฉีด 1 เข็มเข้าทางกล้ามเนื้อ สามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุครรภ์ นอกจากนั้นให้พิจารณาเป็นกรณีไป ซึ่งจะสามารถลดอาการเจ็บป่วยของระบบทางเดินหายใจได้ร้อยละ 29 และลดการเจ็บป่วยของทารกในช่วงหกเดือนหลังคลอดได้ ร้อยละ 63 หากได้รับวัคซีนในช่วงไตรมาสที่สาม
**ผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน อาจมีอาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้เวียนศีรษะได้ และมีรายงานการเกิดโรคปลายประสาทอักเสบ Guillain-Barre syndrome ได้ 1-2 รายต่อผู้ได้รับการฉีดหนึ่งล้านราย**
นอกจากนี้ยังมีวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดเฉพาะเริ่มมีข้อบ่งชี้ ได้แก่
1.วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine) ข้อบ่งชี้ที่ควรฉีดได้แก่
– มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis C virus) หรือวัรส HIV อยู่เดิม
– เคยสงสัยหรือเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
– อยู่ในเรือนจำหรือสถานกักกัน
– ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
– มีคู่นอนมากกว่า 1 คน ในระยะหกเดือนที่ผ่านมา
– ผู้ป่วยหรือผู้ปกครองเกิดในพื้นที่ระบาดของไวรัสตับอักเสบบีและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
– ใช้หรือเคยใช้ยาเสพติดฉีดเข้ากระแสเลือด
– คู่นอนหรือผู้ที่อยู่ในบ้านเดียวกันมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
– อยู่ในระหว่างการล้างไต
**หากมีข้อบ่งชี้เหล่านี้ให้ได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีที่ 0,1,6,เดือน ผลข้างเคียงหลังการฉีดอาจมีอาการเจ็บบริเวณที่ฉีดหรือมีไข้ได้**
2.วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A vaccine) ข้อบ่งชี้ที่ควรฉีดได้แก่
– อยู่ในที่ที่สุขอนามัยไม่ดี ขาดแคลนน้ำสะอาด
– ต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่การระบาดและยังไม่เคยมีภูมิมาก่อน
– ใช้สารเสพติดฉีดเข้ากระแสเลือด
– คู่นอนหรือผู้ที่อยู่ในบ้านเดียวกันมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
สำหรับวัคซีนที่ห้ามฉีดระหว่างการตั้งครรภ์ ได้แก่ วัคซันป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella) งูสวัด (Zoster) และวัคซีนคางทูม หัด หัดเยอรมัน (Measles, mumps, rubella) เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้ออาจทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อและเกิดความพิการได้ โดยหากต้องการฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน (Rubella vaccine) นั้น แนะนำให้ฉีดก่อนตั้งครรภ์มากกว่า 1 เดือน หรือฉีดหลังคลอดทันที 1 เข็ม และฉีดเข็มที่สองห่างจากเข็มแรกหนึ่งเดือน หากได้รับการฉีดวัคซีนเหล่านี้โดยไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ ให้รีบมาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์สุขภาพสตรี
โทร. 0 2265 7777