โลหิตจาง สัญญาณเตือนภัย

55840

this content porn xxx

ในเลือดของคนทั่วไปประกอบด้วย เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และส่วนที่เป็นน้ำเหลืองซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้เลือดแข็งตัว ทุกส่วนของเลือดมีหน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานร่วมกัน ทำให้คนเราอยู่ได้ สำหรับเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นออกสู่ร่างกายผ่านทางปอด เม็ดเลือดแดงรวมทั้งเม็ดเลือดอื่นๆสร้างจากไขกระดูก ซึ่งอยู่ในโพรงกระดูกของเรา ในผู้ใหญ่กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอก จะทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด การสร้างเม็ดเลือดแดงจะเริ่มจากสเต็มเซลล์ ภายใต้การกระตุ้นของสารบางอย่างที่เรียกว่า cytokines ร่วมกับสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12 และโปรตีนต่างๆ เมื่อสร้างเสร็จเม็ดเลือดแดงจะถูกลำเลียงออกมาในกระแสเลือด เปรียบได้กับไขกระดูกเป็นโรงงานผลิตสินค้า โดยอาศัยวัตถุดิบต่างๆกัน เมื่อได้ผลิตภัณฑ์แล้วจึงนำออกสู่ตลาด

โลหิตจางจึงหมายถึงการที่เม็ดเลือดแดงของเราลดลง แล้วเราจะสามารถทราบได้อย่างไร? ในคนที่เป็นมาก เราอาจสังเกตได้จากใบหน้าที่ซีดขาว (คนทั่วไปอาจเรียกซีดเหลือง) นอกจากนั้นผู้มีโลหิตจางอาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง เคยออกกำลังกายได้หรือเดินขึ้นบันไดหลายชั้นได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้เพราะรู้สึกเหนื่อย หัวใจเต้นแรง อาจมีอาการปวดศีรษะตุ้บๆ ง่วงนอนบ่อย นอนมากกว่าปกติ บางคนที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอาจจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกง่าย หรือหัวใจวาย ส่วนในเด็ก โลหิตจางอาจทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียน เรียนไม่ดี ในผู้ที่โลหิตจางเป็นเร็ว คือเลือดลงเร็วในระยะเวลาอันสั้น จะมีอาการมาก ส่วนผู้ที่โลหิตจางเกิดขึ้นช้าๆ อาการอาจไม่มากเนื่องจากร่างกายมีการปรับตัว

สาเหตุของโลหิตจางมีได้หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่โรงงานผิดปกติ ได้แก่ มีสเต็มเซลล์ลดลงหรือเป็นโรคของสเต็มเซลล์ที่เจริญเติบโตไม่ปกติหรือไขกระดูกถูกแทนที่ด้วยผู้บุกรุก เช่นมีเซลล์มะเร็ง หรือมีเชื้อโรคเข้าไปในไขกระดูก หรือขาดสารอาหารวัตถุดิบในการสร้าง เช่นขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12  ขาดสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด เช่นสาร erythropoietin ซึ่งสร้างจากไตมีระดับลดลง หรือการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดไม่เป็นไปอย่างปกติ ก็จะทำให้เกิดโลหิตจางได้ นอกจากนั้นแม้ว่าไขกระดูกและการสร้างเม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างปกติ แต่ถ้ามีการทำลายเม็ดเลือดแดงก่อนที่มันจะหมดอายุตามธรรมชาติ คือ 120 วัน เช่นมีการสร้างแอนติบอดีมาทำลาย หรือเป็นโรคทางพันธุกรรมที่การแตกง่ายของเม็ดเลือดแดง เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย หรือมีม้ามโตจากโรคต่างๆทำหน้าที่จับกินเม็ดเลือดแดง เหล่านี้ทำให้เกิดโลหิตจางได้

ดังนั้นโลหิตจางจึงเป็นเพียงอาการแสดงของโรคต่างๆ ซึ่งมีได้มากมาย บางครั้งเป็นอาการนำของโรคมะเร็งบางชนิดเช่นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคไตวาย หรือโรคแพ้ภูมิบางชนิดเช่นโรค SLE ดังนั้นผู้ที่มีโลหิตจาง ไม่ว่าจะอาการมาก หรืออาการน้อย ซึ่งในกรณีหลังนี้ต้องตรวจเลือด (CBC, complete blood count) จึงจะทราบ แต่ก่อนที่แพทย์จะตรวจ CBC จะมีการซักถามประวัติและตรวจร่างกายก่อน เพื่อจะได้สามารถบอกคร่าวๆว่า โลหิตจางน่าจะเกิดจากขั้นตอนใด ท่านควรให้ประวัติกับแพทย์โดยไม่ปิดบัง เช่นผู้ที่มีประจำเดือนมากผิดปกติ มีประวัติอุจจาระผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด หรือมีท้องผูกสลับท้องเสีย ผู้ที่รับประทานยาต่างๆ หรือรับประทานอาหารดิบๆสุกๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดกระดูก กระดูกหักง่าย และอื่นๆ ควรบอกแพทย์ให้ละเอียด ยิ่งถ้าเคยมีประวัติการตรวจเลือดมาก่อน หรือการรักษามาก่อน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหรือนำผลการตรวจเลือดในอดีตมาให้ดู เพื่อที่จะสามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว

นอกจาการตรวจเลือดเพื่อทราบว่าท่านมีโลหิตจางมากน้อยเพียงใดแล้ว แพทย์จะตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของโลหิตจางด้วยว่าเกิดจากอะไร เพื่อจะได้รักษาให้หายไม่เกิดโลหิตจางอีก สาเหตุบางอย่างรักษาหายขาดได้ เช่น เป็นริดสีดวงทวารมีเลือดออกเรื้อรัง การผ่าตัดริดสีดวงทวารร่วมกับการให้ยาบำรุงเลือดก็จะช่วยท่านได้ แต่บางครั้งเป็นโรคที่รุนแรง เช่น เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ถ้าเป็นระยะต้นสามารถผ่าตัดรักษาได้ผลดี แต่ถ้าเป็นระยะที่มากอาจไม่หายขาด หรือผู้ที่เป็นไตวายถ้าเป็นแบบเรื้อรังรักษาไม่หาย อาจต้องทำการล้างไตและให้ยา erythropoietin ฉีดกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง จะช่วยเพิ่มระดับเลือดได้

ดังนั้นการรักษาโลหิตจางจึงได้แก่การรักษาที่สาเหตุหลักร่วมกับให้ยาหรือสารต่างๆที่ผู้ป่วยขาด ผู้ที่เป็นโลหิตจางไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดมารับประทานเอง เช่นยาที่มีธาตุเหล็ก เพราะว่าท่านอาจจะไม่ได้ขาดสารเหล่านั้น นอกจากนั้น อาจทำให้การวินิจฉัยสาเหตุโลหิตจางได้ช้า รักษาไม่หายโรคเป็นมากขึ้น ซ้ำยังอาจเกิดอันตรายจากมีธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินไปก็ได้ ทางที่ดีจึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องจะดีที่สุด

การตรวจร่างกายประจำปี นอกจากการตรวจน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับและไตแล้ว ถ้าให้ได้ผลดีควรเพิ่มการตรวจเลือด CBC เข้าไปด้วย ซึ่งอาจทำให้สามารถวินิจฉัยโลหิตจางได้และหาสาเหตุของโลหิตจางได้ต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คลินิกโลหิตวิทยาและเคมีบำบัด
โทร. 0 2265 7777 

แพทย์ผู้เขียน

ให้คะแนนบทความนี้
[คะแนนบทความนี้: 2.9]
เรายึดมั่นในหลักการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการดูแลและติดตามผลการรักษาจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด