• banner

ปวดท้องน้อย สัญญาณเตือนที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

อาการ “ปวดท้องน้อย” เป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงหลายคนอาจเคยเจออยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะในช่วงก่อนมีประจำเดือน ระหว่างวันทำงาน หรือแม้แต่ตอนพักผ่อน หลายครั้งอาการเหล่านี้อาจหายเอง แต่บางครั้งอาจซ่อนโรคที่ต้องใส่ใจไว้ หากละเลยไปอาจทำให้ปัญหาสุขภาพลุกลามโดยไม่รู้ตัว การทำความเข้าใจอาการและสาเหตุจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี

อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงเป็นอย่างไร

อาการปวดท้องน้อย คือความรู้สึกเจ็บหรือหน่วงบริเวณใต้สะดือลงมา อาจเป็นเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ลักษณะความปวดแตกต่างกันไป เช่น
  • ปวดเป็น ๆ หาย ๆ
  • ปวดแบบหน่วง ๆ
  • ปวดแปลบเฉียบพลัน
  • ปวดเรื้อรังหลายสัปดาห์
อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นชั่วคราว แต่หากเกิดซ้ำบ่อยหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรหาสาเหตุอย่างจริงจัง

สาเหตุที่พบบ่อยในผู้หญิง

การปวดท้องน้อยในผู้หญิงมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • ปวดก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน (PMS, Dysmenorrhea)
  • ปวดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
2. ความผิดปกติของมดลูกและรังไข่
  • ซีสต์รังไข่ (Ovarian cyst)
  • เนื้องอกมดลูก (Myoma uteri)
3. ระบบสืบพันธุ์และอุ้งเชิงกราน
  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease)
  • ภาวะถุงน้ำรังไข่แตก หรือรังไข่บิดตัว
4. ระบบทางเดินปัสสาวะ
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)
  • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
5. ระบบทางเดินอาหาร
  • ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน (IBS)
  • ไส้ติ่งอักเสบ (กรณีปวดท้องน้อยด้านขวาเฉียบพลัน)

อาการปวดท้องน้อยนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง

อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงอาจสัมพันธ์กับโรคหรือภาวะผิดปกติที่ควรใส่ใจ เช่น
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ทำให้ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ หรือมีบุตรยาก
  • ซีสต์รังไข่ (Ovarian Cyst) ซีสต์ที่มีขนาดใหญ่ หรือแตก/บิดตัว อาจทำให้ปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน
  • เนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) ทำให้มีอาการปวดท้องน้อย เลือดออกมากผิดปกติ หรือปัสสาวะบ่อยจากการกดเบียด
  • การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ทำให้ปวดท้องน้อย ตกขาวผิดปกติ และอาจกระทบต่อการมีบุตร
  • ถุงน้ำรังไข่แตก หรือรังไข่บิดตัว (Ovarian torsion) ภาวะฉุกเฉินที่ทำให้ปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน ต้องรักษาเร่งด่วน
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) พบบ่อยในผู้หญิง ทำให้ปวดท้องน้อยร่วมกับปัสสาวะแสบขัด
  • ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) ปวดท้องน้อยขวาเฉียบพลัน ต้องรีบผ่าตัดก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome: IBS) ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยร่วมกับท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก

สัญญาณที่ควรใส่ใจและพบแพทย์

แม้อาการปวดท้องน้อยบางครั้งอาจหายได้เอง แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • ปวดรุนแรงเฉียบพลัน
  • ปวดร่วมกับไข้สูง หนาวสั่น
  • ปวดพร้อมกับตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติ
  • ปวดร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดต่อเนื่องนานเกิน 2–3 สัปดาห์

วิธีตรวจหาสาเหตุอาการปวดท้องน้อย

แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย จากนั้นอาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น
  • อัลตราซาวด์ช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน
  • ตรวจเลือดและปัสสาวะ
  • การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกหรือช่องท้อง

การรักษาและการดูแลตนเอง

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น
  • ยาลดปวดหรือยาต้านการอักเสบ
  • ยาปฏิชีวนะในกรณีติดเชื้อ
  • การผ่าตัดหรือนำก้อนออก หากพบเนื้องอกหรือซีสต์
  • การปรับพฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อน และออกกำลังกาย

การป้องกันและดูแลระยะยาว

คุณผู้หญิงสามารถลดความเสี่ยงการปวดท้องน้อยได้ด้วยการ
  • ตรวจสุขภาพสตรีประจำปี
  • รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์
  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมากพอ
  • ฟังสัญญาณจากร่างกาย หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์

อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติเล็กน้อยไปจนถึงโรคที่ต้องรักษาอย่างจริงจัง การรับรู้สัญญาณและไม่ละเลยอาการ จะช่วยให้คุณป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากคุณมีอาการปวดท้องน้อยเป็นประจำ หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและรับการดูแลที่เหมาะสม


ศูนย์สุขภาพสตรี
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์สุขภาพสตรี
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 03/10/2025

แพทย์ผู้เขียน

พญ. พิมพ์อร คงประยูร

img

ความถนัดเฉพาะทาง

แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์

ความถนัดเฉพาะทางอื่น

-

ภาษาสื่อสาร

ไทย, อังกฤษ

ติดต่อเรา

โปรแกรมอื่นๆ