ปวดท้องน้อย สัญญาณเตือนที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม
อาการ “ปวดท้องน้อย” เป็นสิ่งที่คุณผู้หญิงหลายคนอาจเคยเจออยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะในช่วงก่อนมีประจำเดือน ระหว่างวันทำงาน หรือแม้แต่ตอนพักผ่อน หลายครั้งอาการเหล่านี้อาจหายเอง แต่บางครั้งอาจซ่อนโรคที่ต้องใส่ใจไว้ หากละเลยไปอาจทำให้ปัญหาสุขภาพลุกลามโดยไม่รู้ตัว การทำความเข้าใจอาการและสาเหตุจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติเล็กน้อยไปจนถึงโรคที่ต้องรักษาอย่างจริงจัง การรับรู้สัญญาณและไม่ละเลยอาการ จะช่วยให้คุณป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากคุณมีอาการปวดท้องน้อยเป็นประจำ หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและรับการดูแลที่เหมาะสม
ศูนย์สุขภาพสตรี
โทร. 0-2265-7777
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงเป็นอย่างไร
อาการปวดท้องน้อย คือความรู้สึกเจ็บหรือหน่วงบริเวณใต้สะดือลงมา อาจเป็นเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ลักษณะความปวดแตกต่างกันไป เช่น- ปวดเป็น ๆ หาย ๆ
- ปวดแบบหน่วง ๆ
- ปวดแปลบเฉียบพลัน
- ปวดเรื้อรังหลายสัปดาห์
สาเหตุที่พบบ่อยในผู้หญิง
การปวดท้องน้อยในผู้หญิงมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- ปวดก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน (PMS, Dysmenorrhea)
- ปวดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
- ซีสต์รังไข่ (Ovarian cyst)
- เนื้องอกมดลูก (Myoma uteri)
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease)
- ภาวะถุงน้ำรังไข่แตก หรือรังไข่บิดตัว
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน (IBS)
- ไส้ติ่งอักเสบ (กรณีปวดท้องน้อยด้านขวาเฉียบพลัน)
อาการปวดท้องน้อยนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงอาจสัมพันธ์กับโรคหรือภาวะผิดปกติที่ควรใส่ใจ เช่น- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ทำให้ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ หรือมีบุตรยาก
- ซีสต์รังไข่ (Ovarian Cyst) ซีสต์ที่มีขนาดใหญ่ หรือแตก/บิดตัว อาจทำให้ปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน
- เนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) ทำให้มีอาการปวดท้องน้อย เลือดออกมากผิดปกติ หรือปัสสาวะบ่อยจากการกดเบียด
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease: PID) ทำให้ปวดท้องน้อย ตกขาวผิดปกติ และอาจกระทบต่อการมีบุตร
- ถุงน้ำรังไข่แตก หรือรังไข่บิดตัว (Ovarian torsion) ภาวะฉุกเฉินที่ทำให้ปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน ต้องรักษาเร่งด่วน
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) พบบ่อยในผู้หญิง ทำให้ปวดท้องน้อยร่วมกับปัสสาวะแสบขัด
- ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) ปวดท้องน้อยขวาเฉียบพลัน ต้องรีบผ่าตัดก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome: IBS) ทำให้มีอาการปวดท้องน้อยร่วมกับท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก
สัญญาณที่ควรใส่ใจและพบแพทย์
แม้อาการปวดท้องน้อยบางครั้งอาจหายได้เอง แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์- ปวดรุนแรงเฉียบพลัน
- ปวดร่วมกับไข้สูง หนาวสั่น
- ปวดพร้อมกับตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติ
- ปวดร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดต่อเนื่องนานเกิน 2–3 สัปดาห์
วิธีตรวจหาสาเหตุอาการปวดท้องน้อย
แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย จากนั้นอาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น- อัลตราซาวด์ช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน
- ตรวจเลือดและปัสสาวะ
- การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกหรือช่องท้อง
การรักษาและการดูแลตนเอง
แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น- ยาลดปวดหรือยาต้านการอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะในกรณีติดเชื้อ
- การผ่าตัดหรือนำก้อนออก หากพบเนื้องอกหรือซีสต์
- การปรับพฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อน และออกกำลังกาย
การป้องกันและดูแลระยะยาว
คุณผู้หญิงสามารถลดความเสี่ยงการปวดท้องน้อยได้ด้วยการ- ตรวจสุขภาพสตรีประจำปี
- รักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์
- หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมากพอ
- ฟังสัญญาณจากร่างกาย หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติเล็กน้อยไปจนถึงโรคที่ต้องรักษาอย่างจริงจัง การรับรู้สัญญาณและไม่ละเลยอาการ จะช่วยให้คุณป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากคุณมีอาการปวดท้องน้อยเป็นประจำ หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและรับการดูแลที่เหมาะสม
ศูนย์สุขภาพสตรี
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์สุขภาพสตรี
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 03/10/2025
แพทย์ผู้เขียน
พญ. พิมพ์อร คงประยูร
ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์





