สุขภาพเท้าสำคัญอย่างไร
เท้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายที่มีความสำคัญ คนเราต้องใช้เท้าในการเดินทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ทุกวัน ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นเบาหวานมักจะลืมดูแลเท้าของตัวเอง ในคนปกติที่มีสุขภาพดีไม่มีปัญหาหลอดเลือดแดงเสื่อม ก็มีโอกาสพบความผิดปกติหรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับเท้าได้
ดังนั้น สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานที่มีความผิดปกติของปลายประสาทและหลอดเลือดยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเกิดแผลขึ้นมาแล้ว ดูแลไม่ถูกวิธี พบแพทย์ช้าเกินไป ก็อาจทำให้ท่านสูญเสียเท้าไปในที่สุด
การรักษาแผลที่เท้าด้วยการตัดเท้านั้นไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้ผู้เป็นเบาหวานสูญเสียอวัยวะที่สำคัญ และรู้สึกท้อแท้ในการดำเนินชีวิต ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเท้าด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อเป็นการลดและขจัดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดบาดแผลให้หมดไปหรือเหลือน้อยที่สุด
ปัญหาของเท้าที่พบบ่อย
• หนังหนา
• เล็บขบ
• เท้าผิดรูป
• แผลเบาหวาน
• ผิวแห้ง
• เชื้อราที่เล็บ
• นิ้วเท้าหงิกงอ จิกพื้น
ป้องกันการเกิดบาดแผล
• การดูแลสุขภาพเท้าทุกวัน
• ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
• เลือกรองเท้าที่เหมาะสม
ดูแลสุขภาพเท้า
• ตรวจสุขภาพเท้าด้วยตนเองทุกวัน ว่านิ้วเท้าและเท้ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เช่น ตาปลา หนังหนา ๆ ตุ่มพอง รอยแตกแยกของผิวหนัง แผลอักเสบปวดบวมแดง เล็บขบ ผิวคล้ำ หรือซีดผิดปกติ ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ควรให้ญาติช่วยดู เมื่อพบความผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที
• หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า หรือเดินบนพื้นที่ร้อน ควรตรวจดูภายในรองเท้าไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ก่อนสวมรองเท้า
• ขจัดผิวหนังที่หนาออก โดยวิธีแช่เท้าด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นนุ่ม แช่เท้านานประมาณ 10-15 นาที จากนั้นใช้หินขัดเท้าขัดบริเวณผิวหนังที่หนาๆ ออกให้หมด ถ้าผิวหนังบริเวณนั้นหนามาก หรือมีบาดแผล ควรไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรทำเอง
• ทาโลชั่นที่เท้าทุกวัน ในกรณีที่ผิวแห้งอาจทำให้เกิดรอยแตก และเกิดการติดเชื้อได้ง่าย หลีกเลี่ยงการทาโลชั่นบริเวณซอกนิ้วเท้าเพื่อป้องกันการหมักหมมซึ่งอาจทำให้เกิดเชื้อราได้
• สวมถุงเท้าที่เหมาะสม ผลิตจากใยฝ้ายที่หนาพอ ควรมีเนื้อนิ่มหลีกเลี่ยงการสวมถุงเท้าที่รัดแน่นจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกใช้ถุงเท้าที่ไม่มีตะเข็บ หรือสวมถุงเท้าโดยการกลับตะเข็บไว้ด้านนอก
• สวมรองเท้าที่เหมาะสม ควรสวมรองเท้าตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน ห้ามเดินเท้าเปล่า
• ตัดเล็บอย่างถูกวิธี ควรตัดเล็บหลังอาบน้ำเสร็จ เพราะเล็บจะนิ่มขึ้นและตัดง่าย ตัดเล็บให้ตรงพอดีกับความยาวของนิ้ว อย่าตัดเล็บโค้งเข้าจมูกเล็บ และ / หรือสั้นจนเกินไป
• บริหารเท้าทุกวัน จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดไปที่เท้าได้ดียิ่งขึ้น
• งดสูบบุหรี่ เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดเส้นเลือดตีบตัน
• เมื่อมีแผลให้รีบดูแลรักษา
การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม
• พื้นรองเท้านุ่มพอเหมาะ
• รองเท้าควรปรับขนาดได้ด้วยเชือกผูกรองเท้า หรือสายรัด
• ส่วนหัวของรองเท้าต้องป้าน เพื่อไม่ให้กดหรือบีบนิ้วจนเกิดบาดแผล
• วัสดุที่บุในรองเท้าต้องนุ่ม ไม่มีตะเข็บหรือปุ่ม
• พื้นล่างของรองเท้าต้องกว้างและแข็งแรง รองเท้าส่วนมากมักทำพื้นเป็นรูปเรือ เพื่อช่วยให้การเดินมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดต่อฝ่าเท้า
• รองเท้าต้องเป็นแบบหุ้มส้นหรือมีสายรัด เพื่อป้องกันการหลุดของรองเท้าเวลาเดิน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
ดังนั้น สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานที่มีความผิดปกติของปลายประสาทและหลอดเลือดยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเกิดแผลขึ้นมาแล้ว ดูแลไม่ถูกวิธี พบแพทย์ช้าเกินไป ก็อาจทำให้ท่านสูญเสียเท้าไปในที่สุด
การรักษาแผลที่เท้าด้วยการตัดเท้านั้นไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้ผู้เป็นเบาหวานสูญเสียอวัยวะที่สำคัญ และรู้สึกท้อแท้ในการดำเนินชีวิต ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเท้าด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อเป็นการลดและขจัดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดบาดแผลให้หมดไปหรือเหลือน้อยที่สุด
ปัญหาของเท้าที่พบบ่อย
• หนังหนา
• เล็บขบ
• เท้าผิดรูป
• แผลเบาหวาน
• ผิวแห้ง
• เชื้อราที่เล็บ
• นิ้วเท้าหงิกงอ จิกพื้น
ป้องกันการเกิดบาดแผล
• การดูแลสุขภาพเท้าทุกวัน
• ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
• เลือกรองเท้าที่เหมาะสม
ดูแลสุขภาพเท้า
• ตรวจสุขภาพเท้าด้วยตนเองทุกวัน ว่านิ้วเท้าและเท้ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เช่น ตาปลา หนังหนา ๆ ตุ่มพอง รอยแตกแยกของผิวหนัง แผลอักเสบปวดบวมแดง เล็บขบ ผิวคล้ำ หรือซีดผิดปกติ ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ควรให้ญาติช่วยดู เมื่อพบความผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที
• หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า หรือเดินบนพื้นที่ร้อน ควรตรวจดูภายในรองเท้าไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ก่อนสวมรองเท้า
• ขจัดผิวหนังที่หนาออก โดยวิธีแช่เท้าด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นนุ่ม แช่เท้านานประมาณ 10-15 นาที จากนั้นใช้หินขัดเท้าขัดบริเวณผิวหนังที่หนาๆ ออกให้หมด ถ้าผิวหนังบริเวณนั้นหนามาก หรือมีบาดแผล ควรไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรทำเอง
• ทาโลชั่นที่เท้าทุกวัน ในกรณีที่ผิวแห้งอาจทำให้เกิดรอยแตก และเกิดการติดเชื้อได้ง่าย หลีกเลี่ยงการทาโลชั่นบริเวณซอกนิ้วเท้าเพื่อป้องกันการหมักหมมซึ่งอาจทำให้เกิดเชื้อราได้
• สวมถุงเท้าที่เหมาะสม ผลิตจากใยฝ้ายที่หนาพอ ควรมีเนื้อนิ่มหลีกเลี่ยงการสวมถุงเท้าที่รัดแน่นจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกใช้ถุงเท้าที่ไม่มีตะเข็บ หรือสวมถุงเท้าโดยการกลับตะเข็บไว้ด้านนอก
• สวมรองเท้าที่เหมาะสม ควรสวมรองเท้าตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน ห้ามเดินเท้าเปล่า
• ตัดเล็บอย่างถูกวิธี ควรตัดเล็บหลังอาบน้ำเสร็จ เพราะเล็บจะนิ่มขึ้นและตัดง่าย ตัดเล็บให้ตรงพอดีกับความยาวของนิ้ว อย่าตัดเล็บโค้งเข้าจมูกเล็บ และ / หรือสั้นจนเกินไป
• บริหารเท้าทุกวัน จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดไปที่เท้าได้ดียิ่งขึ้น
• งดสูบบุหรี่ เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดเส้นเลือดตีบตัน
• เมื่อมีแผลให้รีบดูแลรักษา
การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม
• พื้นรองเท้านุ่มพอเหมาะ
• รองเท้าควรปรับขนาดได้ด้วยเชือกผูกรองเท้า หรือสายรัด
• ส่วนหัวของรองเท้าต้องป้าน เพื่อไม่ให้กดหรือบีบนิ้วจนเกิดบาดแผล
• วัสดุที่บุในรองเท้าต้องนุ่ม ไม่มีตะเข็บหรือปุ่ม
• พื้นล่างของรองเท้าต้องกว้างและแข็งแรง รองเท้าส่วนมากมักทำพื้นเป็นรูปเรือ เพื่อช่วยให้การเดินมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดต่อฝ่าเท้า
• รองเท้าต้องเป็นแบบหุ้มส้นหรือมีสายรัด เพื่อป้องกันการหลุดของรองเท้าเวลาเดิน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 0 2265 7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์อายุรกรรม
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 24/07/2025
แพทย์ผู้เขียน
พญ. เกษนภา เตกาญจนวนิช

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม