ปวดแน่นอก แสบร้อนกลางอก ใช่กรดไหลย้อนหรือไม่? รู้ทันสาเหตุและวิธีรักษา
หลายคนเข้าใจว่าโรคกรดไหลย้อน (GERD) เกิดมาจากภาวะ "กรดมากเกินไป" และสับสนระหว่างโรคกระเพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้ววิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเป็นโรคอะไร ให้ดูจุดสำคัญที่กล้ามเนื้อ หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter – LES) เมื่อกล้ามเนื้อนี้อ่อนแรงหรือทำงานผิดปกติ กรดในกระเพาะจะไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้มีอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว แน่นหน้าอก จุกคอ ในบางรายเป็นเยอะ ทำให้กรดไหย้อน อาการหนักมากยิ่งขึ้น แต่โรคนี้มีทางบรรเทาลงได้ ในวันนี้แพทย์เฉพาะทางเดินอาหาร โรงพยาบาลวิชัยยุทธจะมาแนะนำวิธีแก้อาการแน่นอก กรดไหลย้อน เพื่อให้ทุกคนรับประกินอาหารได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
สารบัญ
- อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าเป็นกรดไหลย้อน? (วิธีสังเกตตัวเอง)
- กรดไหลย้อนเกิดจากอะไร? (เข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง)
- ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน?
- หมอตรวจกรดไหลย้อนอย่างไร? (ขั้นตอนการวินิจฉัยที่โรงพยาบาล)
- ถ้าไม่รักษากรดไหลย้อน จะอันตรายแค่ไหน?
- กรดไหลย้อนรักษาอย่างไร มีวิธีไหนบ้าง?
- ทำอย่างไรไม่ให้กรดไหลย้อนกลับมาเป็นซ้ำ? (วิธีป้องกันระยะยาว)
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าเป็นกรดไหลย้อน? (วิธีสังเกตตัวเอง)
อย่างที่บอกไปว่า อาการของกรดไหลย้อนเด่น ๆ คือ แสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว แน่นหน้าอก ท้องอืด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น โรคนี้มีโอกาสที่จะมีอาการอื่น ๆ ให้พิจารณาร่วมด้วย เช่น- มีอาการไอเรื้อรัง
- เสียงแหบในตอนเช้าอยู่บ่อย ๆ
- เกิดหลังมื้ออาหาร 30-60 นาที
- เหมือนมีก้อนภายในคอ กลืนลำบากแปลกไปกว่าที่เคย
- ปอดอักเสบ เจ็บบริเวณหน้าอก
- มีกลิ่นปาก
กรดไหลย้อนเกิดจากอะไร? (เข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง)
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน?
ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกรดไหลย้อน ได้แก่- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือได้รับการยืนยันว่าเป็น "โรคอ้วน"
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน
- ผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่เป็นประจำ
- สตรีตั้งครรภ์ (ความดันในช่องท้องสูงขึ้น เพิ่มโอกาสเกิดภาวะของกรดไหลย้อนได้)
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคหนังแข็ง มีหูรูดของหลอดอาหารที่ผิดปกติ
หมอตรวจกรดไหลย้อนอย่างไร? (ขั้นตอนการวินิจฉัยที่โรงพยาบาล)
การตรวจโรคกรดไหลย้อน สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น เพื่อดูความผิดปกติของหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร รวมถึงลำไส้เล็ก ช่วยวิเคราะห์โรคจากอาการปวดท้อง กลืนยาก กรดไหลย้อน หรือเลือดออกในกระเพาะ
- การตรวจวัดระดับกรด (24-hour pH Monitoring) เพื่อวัดปริมาณกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร และประเมินความสัมพันธ์กับอาการแสบร้อนบริเวณกลางอก
- การวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร (Esophageal Manometry) เพื่อวัดความดันและการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณหลอดอาหาร หูรูดหลอดอาหารทั้งส่วนบนและส่วนล่าง การตรวจแบบนี้นอกจากจะประเมินอาการกรดไหลย้อน ยังช่วยประเมินภาวะหลอดอาหารผิดปกติ เช่น โรคอะคาลาเซีย ได้ด้วย
ถ้าไม่รักษากรดไหลย้อน จะอันตรายแค่ไหน?
ถ้าไม่รักษา แล้วปล่อยให้กรดไหลย้อน อาการหนัก เป็นโรคนี้เรื้อรังต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารตีบตัน และอาจจะส่งผลให้กลายเป็น "มะเร็งหลอดอาหาร" ได้ในที่สุดกรดไหลย้อนรักษาอย่างไร มีวิธีไหนบ้าง?
การรักษากรดไหลย้อน ทำได้ 3 วิธี แต่ละวิธีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้ปรับพฤติกรรมช่วยได้จริงไหม? และต้องทำอะไรบ้าง?
การปรับพฤติกรรมในการบรรเทากรดไหลย้อน สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้จริง ๆ ซึ่งมีอาหารที่ควรเลี่ยง (กาแฟ ของทอด แอลกอฮอล์) เพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง แบ่งมื้ออาหารให้บ่อยมากขึ้น ในมื้อสุดท้ายของวัน ควรเว้นระยะ 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดแน่นจนเกินไป รวมถึงลดน้ำหนักในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานต้องกินยาเมื่อไหร่และมียาชนิดใดบ้าง?
ควรรับประทานยาลดกรดกลุ่ม PPI (Proton Pump Inhibitor) และ H2 Blocker เพื่อลดอาการในช่วงที่มีภาวะกรดไหลย้อนกำเริบ ยาตัวนี้จะช่วยให้ลดกรดได้เร็ว แต่ไม่แนะนำให้ใช้อย่างต่อเนื่อง เพราะอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา ดังนี้- ภาวะขาดวิตามิน B12
- กระดูกพรุนจากแคลเซียมดูดซึมลดลง
- เสี่ยงการติดเชื้อในลำไส้
- กรดพุ่งกลับทันทีหลังหยุดยา (Rebound Acid)
การผ่าตัดจำเป็นไหม? และเหมาะกับใคร?
การผ่าตัดไม่ได้จำเป็นในทุกรายที่เป็นโรคกรดไหลย้อน โดยปกติแล้วผู้ที่ได้รับการประเมินว่าควรผ่าตัด คือ ผู้ป่วยที่รักษามานานและไม่ดีขึ้น หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น มีแผลหรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร หลอดเลือดอาหารตีบ และปอดอักเสบทำอย่างไรไม่ให้กรดไหลย้อนกลับมาเป็นซ้ำ? (วิธีป้องกันระยะยาว)
ทำอย่างไรไม่ให้กรดไหลย้อนกลับมาเป็นซ้ำ? คำถามนี้มักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคนี้ ซึ่งแพทย์เฉพาะทางเดินอาหาร ตอบได้เลยว่า การปรับพฤติกรรม อย่างการกินมื้อย่อย ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น รวมถึงรักษาน้ำหนักให้อยู่ในมาตรฐาน จะเป็นการป้องกันปัญหากรดไหลย้อนได้ดีและยั่งยืนมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
อาการแน่นอกจากกรดไหลย้อนกับโรคหัวใจ ต่างกันอย่างไร?
อาการกรดไหลย้อนแตกต่างจากโรคหัวใจอย่างชัดเจน- กรดไหลย้อนจะเจ็บหน้าอก ไอ ส่วนโรคหัวใจจะรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด กดทับ และรู้สึกร้าวไปที่ขากรรไกร หัวไหล่ และแขน
- กรดไหลย้อนจะมีอาการแสบร้อนกลางอก แต่โรคหัวใจจะไม่มีอาการนี้ ยกเว้นแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ จุกแน่นตรงคอ ที่อาจจะเป็นได้เหมือนกัน และจะมีอาการอื่น ๆ คือ ใจสั่น หอบ เหนื่อย จะเป็นลม หน้าซีด
- กรดไหลย้อนจะมีอาการมากขึ้นหลังจากมื้ออาหาร ส่วนโรคหัวใจจะมีอาการมากขึ้นหลังใช้แรงหรือออกกำลังกาย
กรดไหลย้อนรักษาให้หายขาดได้ไหม?
กรดไหลย้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมและวินัยของแต่ละบุคคล นอกจากนี้การรักษาโดยใช้ยา รวมถึงการผ่าตัด ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการฟื้นฟูจากโรคกรดไหลย้อนได้เช่นเดียวกันจำเป็นต้อง "ส่องกล้อง" ทุกคนไหม?
ไม่จำเป็นต้องส่องกล้องทุกคน แพทย์จะประเมินว่าควรได้รับการวินิจฉัยผ่านการส่องกล้องเพิ่มเติมก็ต่อเมื่อมีอาการรุนแรงหรือรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นเป็นกรดไหลย้อน ห้ามกินอะไรบ้าง? (อาหารที่ควรเลี่ยง)
อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นโรคกรดไหลย้อน ได้แก่- อาหารที่มีไขมันสูง ของทอด ของมัน
- อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัดหรือเค็มจัด
- ของหมักดอง
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เนย และชีส
- ชา กาแฟ น้ำอัดลม
- แอลกอฮอล์
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 21/11/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. ฉัตรชัย เกรียงกิรากูร
ความถนัดเฉพาะทาง
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร





