• banner

ท้องเสียเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ? รู้สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ที่ถูกต้อง

อาหารเป็นพิษ ปวดท้องบิด ท้องเสียบ่อย ท้องเสียเฉียบพลัน บางคนอาจคิดแบบผิวเผิน ว่าแค่กินอาหารไม่สะอาด อาหารค้างคืน พักผ่อนน้อย หรือเครียด แล้วก็หายไปเอง เลยชะล่าใจและไม่มารับการตรวจที่โรงพยาบาล แต่ถ้าหากว่ามีอาการเหล่านี้เกิดซ้ำ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ หรือกลายเป็นความผิดปกติที่อยู่กับคุณจนเป็นเรื่องปกติ ปัญหานี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กอีกต่อไป แต่อาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณอันตราย เราอยากชวนคุณมาสังเกตตัวเองกันใหม่ว่า “ท้องเสียบ่อย” แบบไหนบ้าง ที่ควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหาสาเหตุ แล้วถ้าป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ แก้ยังไง มาฟังคำตอบจากแพทย์ทางเดินอาหารไปพร้อม ๆ กัน

สารบัญ


เช็กด่วน! อาการแบบไหนที่เข้าข่าย "อาหารเป็นพิษ"?

อาการที่เข้าข่ายอาหารเป็นพิษ มีดังนี้
  • ปวดท้อง ปวดเกร็งในช่องท้อง
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
  • มีอาการปากแห้ง ภาวะขาดน้ำ กระหายน้ำบ่อย ๆ

อาหารเป็นพิษเกิดจากอะไรได้บ้าง?

อาหารเป็นพิษเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
  • เชื้อแบคทีเรีย Salmonella พบในเนื้อสัตว์ ไข่ นม, E.coli พบในเนื้อดิบ ผักสด และเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดอย่าง Norovirus ที่พบได้บ่อย ๆ ในอาหารทะเลที่ขาดการปรุงสุก ผัก และผลไม้
  • สารพิษที่เกิดจากเชื้อรา เช่น Clostridium botulinum นอกจากนี้ยังสามารถเกิดมาจากสารเคมีที่ตกค้างอยู่กับผัก ผลไม้ หรือการปนเปื้อนจากกระบวนการผลิตต่าง ๆ

อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง

อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง? วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน

อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
  • ดื่มเกลือแร่ (ORS) หรือดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
  • กินยาคาร์บอน ยาแก้อาเจียน แก้ปวดท้อง หรือพบแพทย์เพื่อรับประกินยาฆ่าชื้อ เพื่อบรรเทาอาการ

อาหารเป็นพิษดื่มอะไรดี?

อาหารเป็นพิษควรดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยหลักการดื่มเกลือแร่ที่ถูกต้อง มีดังนี้
  • เทผงเกลือแร่ทั้งซองในน้ำสะอาด ประมาณ 150-250 มล. หรือเทในปริมาณตามที่ระบุอยู่ในฉลาก
  • จิบน้ำเกลือแร่ทีละนิด แต่สม่ำเสมอ ไม่แนะนำให้ดื่มรวดเดียวจนหมด เพราะมีโอกาสอาเจียนมากขึ้น
  • แนะนำให้ดื่มภายใน 24 ชั่วโมง หลังผสมเกลือแร่
  • หยุดดื่มทันทีเมื่อหายจากอาการท้องเสีย และกลับไปดื่มน้ำตามปกติ
หมายเหตุ : ตอนท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ ต้องดื่มเกลือแร่สำหรับผู้ที่ท้องเสียเท่านั้น ไม่แนะนำให้ดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกายเพราะอาจจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง

อาหารเป็นพิษควรกินอะไร? และมีอาหารอะไรที่ "ห้ามกิน"?

อาหารเป็นพิษควรรับประกินอาหารที่ไม่หนักท้อง อาหารอ่อน ๆ ข้าวต้ม ซุป หรือโจ๊ก เพื่อให้กระเพาะย่อยง่าย ๆ และควรงดอาหารรสจัด ของที่มีไขมันสูง ของทอด ชา กาแฟ รวมถึงแอลกอฮอล์

อาหารเป็นพิษ ควรกินยาแก้ท้องเสียหรือไม่?

อาหารเป็นพิษ อาจจะยังไม่ต้องกินยาแก้ท้องเสียในทันที แต่ควรเลือกกินเกลือแร่ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย

อาหารเป็นพิษ อาการหนัก

อาหารเป็นพิษ อาการหนักแบบไหนที่ต้องรีบหาหมอ?

อาการที่ควรรีบไปพบแพทย์แผนกฉุกเฉินทันที หลังจากอาหารเป็นพิษ มีดังนี้
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
  • ถ่ายเป็นเลือดหรือมูกเลือด ไข้สูง อ่อนเพลียมาก
  • อาเจียนติดต่อกันไม่หยุด และมีเลือดออกร่วมระหว่างอาเจียน
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก และหนังตาตก




ไปหาหมอเรื่องอาหารเป็นพิษ ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ไปหาหมอเรื่องอาหารเป็นพิษ มีสิ่งที่ต้องตรวจ 2 ข้อหลัก ๆ ได้แก่
  • ซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามเรื่องทั่วไป เช่น มีอาการอะไรบ้าง เป็นมานานแค่ไหน บ่อยแค่ไหน และถามถึงอาหารที่เพิ่งกินหรือดื่มมาเร็ว ๆ นี้ หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ถ้าหากมี
  • ตรวจร่างกาย: เมื่อถามประวัติเบื้องต้นเรียบร้อย แพทย์จะตรวจร่างกาย เช่น ความดันโลหิต ชีพจร เพื่อเช็กสัญญาณการขาดน้ำ รวมถึงฟังเสียงในช่องท้อง เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค นอกจากนี้แพทย์อาจจะมีการตรวจทางทวารหนักเพื่อหาเลือดในอุจจาระด้วย เพราะเลือดอาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณของเชื้อแบคทีเรียได้

วิธีป้องกันอาหารเป็นพิษที่ถูกต้อง (แนะนำโดยแพทย์)

การป้องกันอาหารเป็นพิษที่ถูกต้อง สามารถทำได้โดย
  • กินอาหารปรุงสุก ถูกสุขอนามัย
  • แยกของสุกออกจากของดิบ เพื่อป้องกันโอกาสปนเปื้อน
  • ควรล้างมือก่อนเตรียมอาหาร ทำอาหาร หลังจากที่ออกจากห้องน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้ามาได้
  • ทำความสะอาดเขียง จาน และมีด หลังจากใช้งานทันที
  • ไม่ควรวางอาหารที่สุกแล้ว ลงบนจานที่เคยวางอาหารดิบ

แล้วถ้าท้องเสียไม่หายขาด อาจเป็นโรคเรื้อรัง?

ถ้าท้องเสียไม่หายขาด และเป็นติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์ คุณอาจจะกำลังแพ้อาหาร มีการติดเชื้ออื่น ๆ โรคระบบทางเดินอาหารเช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) หรือมีภาวะตับอ่อนทำงานไม่เพียงพอ

“ท้องเสียบ่อย” แค่ไหนที่ควรเริ่มกังวล?

โดยทั่วไป การถ่ายเหลว 1–2 วัน อาจเกิดจากการติดเชื้อเล็กน้อยหรืออาหารเป็นพิษ แต่หากคุณมีลักษณะเหล่านี้ ควรเริ่มหาสาเหตุเพิ่มเติมครับ
  • ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้ง/วัน ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
  • ปวดท้องหรือมีไข้ร่วมด้วย
  • ถ่ายบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน
  • มีเลือดหรือเมือกปนในอุจจาระ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคลำไส้ เช่น มะเร็ง, ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
แม้อาการบางอย่างจะดูไม่รุนแรง แต่หากเกิดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณของ โรคเรื้อรังในลำไส้ ได้ครับ

อาหารเป็นพิษ ไม่หายขาด


โรคอะไรที่อาจซ่อนอยู่หลังอาการ “ท้องเสียบ่อย”?

การที่ลำไส้ทำงานผิดปกติบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารหรือภูมิแพ้เท่านั้น แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบลำไส้โดยตรง เช่น
  • กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS – Irritable Bowel Syndrome)

พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะเมื่อเครียด นอนน้อย หรือกินไม่เป็นเวลา อาการมักเป็น ท้องเสียสลับท้องผูก ปวดท้องบ่อย ถ่ายไม่สุด หรือรู้สึกแน่นท้อง
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD – Inflammatory Bowel Disease)

เช่น Crohn’s Disease หรือ Ulcerative Colitis
ผู้ป่วยมักมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด ปวดบิด ถ่ายบ่อย และอ่อนเพลีย โรคนี้ต้องวินิจฉัยอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาเฉพาะราย
  • การติดเชื้อเรื้อรังในลำไส้

ในบางรายมีเชื้อแบคทีเรียหรือพยาธิสะสมในระบบทางเดินอาหาร แม้รับประทานอาหารปกติแต่ถ่ายเหลวเรื้อรัง ร่างกายดูดซึมไม่ดี
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะเริ่มต้น

มักไม่มีอาการเด่นชัดในช่วงแรก แต่อาการหนึ่งที่พบได้คือ ท้องเสียเรื้อรัง ปนเลือด น้ำหนักลด

ควรตรวจอะไรบ้าง?

หากมีอาการเข้าข่ายที่กล่าวมา แพทย์อาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น
    • ตรวจอุจจาระ ดูเชื้อ, เมือก, เลือดแฝง หรือสัญญาณการติดเชื้อ
    • ตรวจเลือด ประเมินภาวะขาดน้ำ ขาดธาตุอาหาร รวมถึงการอักเสบติดเชื้อ
    • ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ตรวจหาความผิดปกติ เช่น แผล ติ่งเนื้อ หรือเนื้องอก
    • อัลตราซาวด์ช่องท้อง / เอกซเรย์ / CT scan เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค
การเลือกวิธีตรวจจะขึ้นกับอาการของแต่ละบุคคลครับ ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกอย่าง



แนะนำจากแพทย์ อย่าปล่อยให้ “ชิน” กับอาการที่ผิดปกติ

เมื่อมีอาการท้องเสียเฉียบพลันจาก อาหารเป็นพิษ คนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองจนหาย แต่สำหรับอาการท้องเสียเรื้อรัง หรืออาการที่ผิดปกติไปจากเดิม ผู้ป่วยจำนวนมากมักชะล่าใจและยอมให้คำว่า “เป็นมานานแล้ว แต่คิดว่าไม่เป็นไร” เป็นข้ออ้าง
จนวันหนึ่งที่ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณอันตราย เช่น อ่อนเพลีย หรือ น้ำหนักลดอย่างผิดปกติ จึงตัดสินใจมาตรวจ แต่โรคบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือ มะเร็งลำไส้ อาจจะลุกลามไปแล้ว
ย้ำ! การวินิจฉัยเร็ว คือหัวใจสำคัญของการรักษา ยิ่งรู้เร็ว = ยิ่งรักษาได้ตรงจุดก่อนโรคลุกลาม
ถ้าคุณมีอาการ ท้องเสียบ่อย หรือ ผิดปกติจากเดิม (ไม่ใช่อาการเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ) อย่าชะล่าใจครับ แนะนำให้พบ แพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการดูแลให้เหมาะสมกับคุณ
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 21/11/2025

แพทย์ผู้เขียน

นพ. วราวุฒิ บูรณวุฒิ

img

ความถนัดเฉพาะทาง

อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร

ความถนัดเฉพาะทางอื่น

-

ภาษาสื่อสาร

ไทย, อังกฤษ

ติดต่อเรา