ท้องเสียเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ? รู้สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ที่ถูกต้อง
อาหารเป็นพิษ ปวดท้องบิด ท้องเสียบ่อย ท้องเสียเฉียบพลัน บางคนอาจคิดแบบผิวเผิน ว่าแค่กินอาหารไม่สะอาด อาหารค้างคืน พักผ่อนน้อย หรือเครียด แล้วก็หายไปเอง เลยชะล่าใจและไม่มารับการตรวจที่โรงพยาบาล แต่ถ้าหากว่ามีอาการเหล่านี้เกิดซ้ำ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ หรือกลายเป็นความผิดปกติที่อยู่กับคุณจนเป็นเรื่องปกติ ปัญหานี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กอีกต่อไป แต่อาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณอันตราย เราอยากชวนคุณมาสังเกตตัวเองกันใหม่ว่า “ท้องเสียบ่อย” แบบไหนบ้าง ที่ควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหาสาเหตุ แล้วถ้าป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ แก้ยังไง มาฟังคำตอบจากแพทย์ทางเดินอาหารไปพร้อม ๆ กัน
การที่ลำไส้ทำงานผิดปกติบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารหรือภูมิแพ้เท่านั้น แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบลำไส้โดยตรง เช่น
ผู้ป่วยมักมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด ปวดบิด ถ่ายบ่อย และอ่อนเพลีย โรคนี้ต้องวินิจฉัยอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาเฉพาะราย
• ตรวจอุจจาระ ดูเชื้อ, เมือก, เลือดแฝง หรือสัญญาณการติดเชื้อ
• ตรวจเลือด ประเมินภาวะขาดน้ำ ขาดธาตุอาหาร รวมถึงการอักเสบติดเชื้อ
• ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ตรวจหาความผิดปกติ เช่น แผล ติ่งเนื้อ หรือเนื้องอก
• อัลตราซาวด์ช่องท้อง / เอกซเรย์ / CT scan เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค
การเลือกวิธีตรวจจะขึ้นกับอาการของแต่ละบุคคลครับ ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกอย่าง
จนวันหนึ่งที่ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณอันตราย เช่น อ่อนเพลีย หรือ น้ำหนักลดอย่างผิดปกติ จึงตัดสินใจมาตรวจ แต่โรคบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือ มะเร็งลำไส้ อาจจะลุกลามไปแล้ว
ย้ำ! การวินิจฉัยเร็ว คือหัวใจสำคัญของการรักษา ยิ่งรู้เร็ว = ยิ่งรักษาได้ตรงจุดก่อนโรคลุกลาม
ถ้าคุณมีอาการ ท้องเสียบ่อย หรือ ผิดปกติจากเดิม (ไม่ใช่อาการเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ) อย่าชะล่าใจครับ แนะนำให้พบ แพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการดูแลให้เหมาะสมกับคุณ
สารบัญ
- เช็กด่วน! อาการแบบไหนที่เข้าข่าย "อาหารเป็นพิษ"?
- อาหารเป็นพิษเกิดจากอะไรได้บ้าง?
- อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง? วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน
- อาหารเป็นพิษ อาการหนักแบบไหนที่ต้องรีบหาหมอ?
- ไปหาหมอเรื่องอาหารเป็นพิษ ต้องตรวจอะไรบ้าง?
- วิธีป้องกันอาหารเป็นพิษที่ถูกต้อง (แนะนำโดยแพทย์)
- แล้วถ้าท้องเสียไม่หายขาด อาจเป็นโรคเรื้อรัง?
- โรคอะไรที่อาจซ่อนอยู่หลังอาการ “ท้องเสียบ่อย”?
- ควรตรวจอะไรบ้าง?
- แนะนำจากแพทย์ อย่าปล่อยให้ “ชิน” กับอาการที่ผิดปกติ
เช็กด่วน! อาการแบบไหนที่เข้าข่าย "อาหารเป็นพิษ"?
อาการที่เข้าข่ายอาหารเป็นพิษ มีดังนี้- ปวดท้อง ปวดเกร็งในช่องท้อง
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
- มีอาการปากแห้ง ภาวะขาดน้ำ กระหายน้ำบ่อย ๆ
อาหารเป็นพิษเกิดจากอะไรได้บ้าง?
อาหารเป็นพิษเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่- เชื้อแบคทีเรีย Salmonella พบในเนื้อสัตว์ ไข่ นม, E.coli พบในเนื้อดิบ ผักสด และเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดอย่าง Norovirus ที่พบได้บ่อย ๆ ในอาหารทะเลที่ขาดการปรุงสุก ผัก และผลไม้
- สารพิษที่เกิดจากเชื้อรา เช่น Clostridium botulinum นอกจากนี้ยังสามารถเกิดมาจากสารเคมีที่ตกค้างอยู่กับผัก ผลไม้ หรือการปนเปื้อนจากกระบวนการผลิตต่าง ๆ
อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง? วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน
อาหารเป็นพิษ แก้ยังไง ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ง่าย ๆ ที่บ้าน- ดื่มเกลือแร่ (ORS) หรือดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
- กินยาคาร์บอน ยาแก้อาเจียน แก้ปวดท้อง หรือพบแพทย์เพื่อรับประกินยาฆ่าชื้อ เพื่อบรรเทาอาการ
อาหารเป็นพิษดื่มอะไรดี?
อาหารเป็นพิษควรดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยหลักการดื่มเกลือแร่ที่ถูกต้อง มีดังนี้- เทผงเกลือแร่ทั้งซองในน้ำสะอาด ประมาณ 150-250 มล. หรือเทในปริมาณตามที่ระบุอยู่ในฉลาก
- จิบน้ำเกลือแร่ทีละนิด แต่สม่ำเสมอ ไม่แนะนำให้ดื่มรวดเดียวจนหมด เพราะมีโอกาสอาเจียนมากขึ้น
- แนะนำให้ดื่มภายใน 24 ชั่วโมง หลังผสมเกลือแร่
- หยุดดื่มทันทีเมื่อหายจากอาการท้องเสีย และกลับไปดื่มน้ำตามปกติ
อาหารเป็นพิษควรกินอะไร? และมีอาหารอะไรที่ "ห้ามกิน"?
อาหารเป็นพิษควรรับประกินอาหารที่ไม่หนักท้อง อาหารอ่อน ๆ ข้าวต้ม ซุป หรือโจ๊ก เพื่อให้กระเพาะย่อยง่าย ๆ และควรงดอาหารรสจัด ของที่มีไขมันสูง ของทอด ชา กาแฟ รวมถึงแอลกอฮอล์อาหารเป็นพิษ ควรกินยาแก้ท้องเสียหรือไม่?
อาหารเป็นพิษ อาจจะยังไม่ต้องกินยาแก้ท้องเสียในทันที แต่ควรเลือกกินเกลือแร่ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย
อาหารเป็นพิษ อาการหนักแบบไหนที่ต้องรีบหาหมอ?
อาการที่ควรรีบไปพบแพทย์แผนกฉุกเฉินทันที หลังจากอาหารเป็นพิษ มีดังนี้- อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
- ถ่ายเป็นเลือดหรือมูกเลือด ไข้สูง อ่อนเพลียมาก
- อาเจียนติดต่อกันไม่หยุด และมีเลือดออกร่วมระหว่างอาเจียน
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก และหนังตาตก
ไปหาหมอเรื่องอาหารเป็นพิษ ต้องตรวจอะไรบ้าง?
ไปหาหมอเรื่องอาหารเป็นพิษ มีสิ่งที่ต้องตรวจ 2 ข้อหลัก ๆ ได้แก่- ซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามเรื่องทั่วไป เช่น มีอาการอะไรบ้าง เป็นมานานแค่ไหน บ่อยแค่ไหน และถามถึงอาหารที่เพิ่งกินหรือดื่มมาเร็ว ๆ นี้ หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ถ้าหากมี
- ตรวจร่างกาย: เมื่อถามประวัติเบื้องต้นเรียบร้อย แพทย์จะตรวจร่างกาย เช่น ความดันโลหิต ชีพจร เพื่อเช็กสัญญาณการขาดน้ำ รวมถึงฟังเสียงในช่องท้อง เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค นอกจากนี้แพทย์อาจจะมีการตรวจทางทวารหนักเพื่อหาเลือดในอุจจาระด้วย เพราะเลือดอาจจะเป็นหนึ่งในสัญญาณของเชื้อแบคทีเรียได้
วิธีป้องกันอาหารเป็นพิษที่ถูกต้อง (แนะนำโดยแพทย์)
การป้องกันอาหารเป็นพิษที่ถูกต้อง สามารถทำได้โดย- กินอาหารปรุงสุก ถูกสุขอนามัย
- แยกของสุกออกจากของดิบ เพื่อป้องกันโอกาสปนเปื้อน
- ควรล้างมือก่อนเตรียมอาหาร ทำอาหาร หลังจากที่ออกจากห้องน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้ามาได้
- ทำความสะอาดเขียง จาน และมีด หลังจากใช้งานทันที
- ไม่ควรวางอาหารที่สุกแล้ว ลงบนจานที่เคยวางอาหารดิบ
แล้วถ้าท้องเสียไม่หายขาด อาจเป็นโรคเรื้อรัง?
ถ้าท้องเสียไม่หายขาด และเป็นติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์ คุณอาจจะกำลังแพ้อาหาร มีการติดเชื้ออื่น ๆ โรคระบบทางเดินอาหารเช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) หรือมีภาวะตับอ่อนทำงานไม่เพียงพอ“ท้องเสียบ่อย” แค่ไหนที่ควรเริ่มกังวล?
โดยทั่วไป การถ่ายเหลว 1–2 วัน อาจเกิดจากการติดเชื้อเล็กน้อยหรืออาหารเป็นพิษ แต่หากคุณมีลักษณะเหล่านี้ ควรเริ่มหาสาเหตุเพิ่มเติมครับ- ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้ง/วัน ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์
- ปวดท้องหรือมีไข้ร่วมด้วย
- ถ่ายบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน
- มีเลือดหรือเมือกปนในอุจจาระ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคลำไส้ เช่น มะเร็ง, ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
โรคอะไรที่อาจซ่อนอยู่หลังอาการ “ท้องเสียบ่อย”?
การที่ลำไส้ทำงานผิดปกติบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารหรือภูมิแพ้เท่านั้น แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบลำไส้โดยตรง เช่น
-
กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS – Irritable Bowel Syndrome)
-
โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD – Inflammatory Bowel Disease)
ผู้ป่วยมักมีอาการ ถ่ายเป็นเลือด ปวดบิด ถ่ายบ่อย และอ่อนเพลีย โรคนี้ต้องวินิจฉัยอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาเฉพาะราย
-
การติดเชื้อเรื้อรังในลำไส้
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะเริ่มต้น
ควรตรวจอะไรบ้าง?
หากมีอาการเข้าข่ายที่กล่าวมา แพทย์อาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น• ตรวจอุจจาระ ดูเชื้อ, เมือก, เลือดแฝง หรือสัญญาณการติดเชื้อ
• ตรวจเลือด ประเมินภาวะขาดน้ำ ขาดธาตุอาหาร รวมถึงการอักเสบติดเชื้อ
• ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ตรวจหาความผิดปกติ เช่น แผล ติ่งเนื้อ หรือเนื้องอก
• อัลตราซาวด์ช่องท้อง / เอกซเรย์ / CT scan เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค
การเลือกวิธีตรวจจะขึ้นกับอาการของแต่ละบุคคลครับ ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกอย่าง
แนะนำจากแพทย์ อย่าปล่อยให้ “ชิน” กับอาการที่ผิดปกติ
เมื่อมีอาการท้องเสียเฉียบพลันจาก อาหารเป็นพิษ คนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองจนหาย แต่สำหรับอาการท้องเสียเรื้อรัง หรืออาการที่ผิดปกติไปจากเดิม ผู้ป่วยจำนวนมากมักชะล่าใจและยอมให้คำว่า “เป็นมานานแล้ว แต่คิดว่าไม่เป็นไร” เป็นข้ออ้างจนวันหนึ่งที่ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณอันตราย เช่น อ่อนเพลีย หรือ น้ำหนักลดอย่างผิดปกติ จึงตัดสินใจมาตรวจ แต่โรคบางอย่างที่ซ่อนอยู่ เช่น ลำไส้อักเสบ หรือ มะเร็งลำไส้ อาจจะลุกลามไปแล้ว
ย้ำ! การวินิจฉัยเร็ว คือหัวใจสำคัญของการรักษา ยิ่งรู้เร็ว = ยิ่งรักษาได้ตรงจุดก่อนโรคลุกลาม
ถ้าคุณมีอาการ ท้องเสียบ่อย หรือ ผิดปกติจากเดิม (ไม่ใช่อาการเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ) อย่าชะล่าใจครับ แนะนำให้พบ แพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการดูแลให้เหมาะสมกับคุณ
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 21/11/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. วราวุฒิ บูรณวุฒิ
ความถนัดเฉพาะทาง
อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร





