• banner

Manometry คืออะไร? ตรวจแรงบีบตัวของหลอดอาหาร แบบละเอียด เจ็บไหม

เคยมีอาการกลืนติด กลืนลำบาก หรือรู้สึกเหมือนอาหารค้างอยู่กลางอกไหมครับ? บางคนอาจมีอาการบ่อย จนสงสัยว่าหลอดอาหารทำงานปกติหรือไม่ หนึ่งในวิธีตรวจที่แพทย์ใช้เพื่อวินิจฉัยคือ การตรวจ Manometry หรือ Esophageal Manometry ซึ่งเป็นการตรวจแรงบีบตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า Manometry คืออะไร ตรวจอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ รู้สึกเจ็บไหม และเหมาะกับใคร

Manometry คืออะไร?

Esophageal Manometry คือการตรวจวัดแรงบีบตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร รวมถึงการทำงานของหูรูดหลอดอาหาร (Esophageal sphincter) โดยใช้สายเล็ก ๆ ที่มีเซ็นเซอร์ความดันใส่เข้าไปทางจมูก ผ่านลงมาสู่หลอดอาหาร

จุดประสงค์หลักของการตรวจนี้ คือ

  • ประเมินว่าหลอดอาหารบีบตัวได้สม่ำเสมอและมีแรงเพียงพอหรือไม่
  • ตรวจดูว่าหูรูดของหลอดอาหารเปิด-ปิดทำงานเหมาะสมหรือไม่
  • ช่วยวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) โรค Achalasia (โรคที่หลอดอาหารบีบตัวผิดปกติ)

อาการแบบไหนที่แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ Manometry

ผู้ป่วยที่มีอาการต่อไปนี้ อาจเป็นกลุ่มที่แพทย์พิจารณาให้ตรวจ Manometry
  • กลืนลำบาก รู้สึกเหมือนอาหารติดหรือค้างในหลอดอาหาร
  • กลืนแล้วเจ็บแน่นหน้าอก โดยหาสาเหตุไม่ได้จากการส่องกล้อง
  • มีอาการแสบร้อนกลางอกหรือกรดไหลย้อนเรื้อรัง
  • ได้รับการรักษาด้วยยาแก้กรดไหลย้อนแล้วอาการไม่ดีขึ้น
  • แพทย์ต้องการข้อมูลก่อนการผ่าตัดโรคกรดไหลย้อนหรือผ่าตัดกระเพาะอาหาร

ขั้นตอนการตรวจ Manometry

1. การเตรียมตัวก่อนตรวจ
  • งดอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนตรวจ
  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ทานประจำ เพราะบางชนิดอาจมีผลต่อผลการตรวจ
2. ระหว่างการตรวจ
  • ผู้ป่วยนั่งหรือเอนตัว
  • แพทย์หรือพยาบาลจะใส่สายขนาดเล็กผ่านรูจมูกลงไปในหลอดอาหาร สายนี้มีเซ็นเซอร์วัดแรงดัน
  • เมื่อสายเข้าที่แล้ว ผู้ป่วยจะถูกขอให้กลืนน้ำหรือกลืนน้ำลายเป็นจังหวะ เพื่อวัดการบีบตัวของกล้ามเนื้อ
3. หลังการตรวจ
  • สายจะถูกถอดออกทันทีหลังเสร็จสิ้น
  • ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เลย

การตรวจเจ็บไหม?

สิ่งที่หลายคนกังวลคือ “เจ็บหรือเปล่า” จริง ๆ แล้ว การตรวจ Manometry อาจทำให้รู้สึก ระคายหรือไม่สบายเล็กน้อย ตอนใส่สายผ่านจมูก เช่น อาการแสบ คัดจมูก แต่ ไม่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง แพทย์จะอธิบายขั้นตอนให้เข้าใจก่อนเสมอ และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถทนได้โดยไม่ต้องใช้ยาสลบ บางแห่งอาจใช้ยาชาเฉพาะที่ช่วยลดความระคาย


การแปลผลตรวจ Manometry

แพทย์จะนำข้อมูลแรงดันและรูปแบบการบีบตัวของหลอดอาหารที่ได้มา วิเคราะห์ร่วมกับอาการของผู้ป่วย เพื่อวินิจฉัยโรค เช่น
  • Achalasia: หลอดอาหารบีบตัวผิดปกติ และหูรูดไม่คลายตัว
  • Diffuse esophageal spasm: หลอดอาหารมีการบีบตัวผิดจังหวะ
  • Ineffective esophageal motility: หลอดอาหารบีบตัวแรงไม่พอ ส่งผลให้กลืนอาหารลำบาก
  • GERD (โรคกรดไหลย้อน): ใช้ร่วมกับการตรวจอื่นเพื่อยืนยันการวินิจฉัย


ข้อดีของการตรวจ Manometry

  • เป็นการตรวจที่ ปลอดภัย ไม่ซับซ้อน
  • ใช้เวลาสั้น ประมาณ 30–45 นาที
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการทำงานของหลอดอาหารที่ตรวจด้วยวิธีอื่นไม่ได้

การดูแลหลังตรวจ

โดยทั่วไปไม่ต้องพักฟื้น ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที อาจมีอาการระคายคอเล็กน้อยหรือจมูกแสบเพียงชั่วคราว

Manometry เป็นการตรวจแรงบีบตัวของหลอดอาหารที่ช่วยวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับการกลืนและกรดไหลย้อน ขั้นตอนการตรวจไม่ซับซ้อน ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง และให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้แพทย์เลือกวิธีรักษาที่ตรงจุด หากคุณมีอาการกลืนลำบาก แน่นหน้าอก หรือกรดไหลย้อนเรื้อรัง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าควรตรวจ Manometry หรือไม่

หากคุณมีอาการกลืนลำบาก รู้สึกแน่นหน้าอก หรือมีกรดไหลย้อนเรื้อรัง อย่าปล่อยทิ้งไว้ครับ การตรวจ Manometry อาจเป็นกุญแจสำคัญในการหาสาเหตุและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแลที่เหมาะสมกับคุณ

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตั
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 17/09/2025

แพทย์ผู้เขียน

นพ. เกษม แสงหิรัญวัฒนา

img

ความถนัดเฉพาะทาง

แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร

ความถนัดเฉพาะทางอื่น

-

ภาษาสื่อสาร

ไทย, อังกฤษ

ติดต่อเรา

โปรแกรมอื่นๆ