“ไขมันพอกตับ” แบ่งกี่ระยะ? วางแผนรักษาอย่างไรในแต่ละระยะ
เมื่อผลตรวจสุขภาพระบุว่า “มีไขมันพอกตับ”
หลายคนรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อ
ต้องรักษาหรือยัง? อันตรายมากน้อยแค่ไหน?
คำตอบขึ้นอยู่กับว่า ไขมันที่สะสมในตับอยู่ในระยะใดของโรค
บทความนี้หมอจะอธิบายให้เข้าใจว่า ไขมันพอกตับมีทั้งหมดกี่ระยะ และแต่ละระยะควรดูแลหรือรักษาอย่างไร
ระยะที่ 1: ไขมันสะสมในตับ (Simple Steatosis)
เป็นระยะแรกเริ่มของโรคไขมันพอกตับ ร่างกายมีการสะสมไขมันในเซลล์ตับมากกว่า 5% โดยยังไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือพังผืด
ลักษณะสำคัญ
• ยังไม่มีอาการ
• พบได้จากการตรวจอัลตราซาวด์หรือการตรวจสุขภาพประจำปี
• ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) มักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
• การตรวจ FibroScan หรือ การตรวจทางพยาธิวิทยา (กรณีจำเป็น) ใช้ยืนยันการวินิจฉัย
การดูแลในระยะนี้
• ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยา
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
• ลดอาหารหวาน มัน แปรรูป
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• ตรวจติดตามค่า AST, ALT และอัลตราซาวด์เป็นระยะ
ระยะที่ 2: ตับอักเสบจากไขมัน (NASH – Non-Alcoholic Steatohepatitis)
ในระยะนี้ ไขมันที่สะสมเริ่มกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ หากปล่อยไว้อาจพัฒนาเป็นพังผืดในตับได้
ลักษณะสำคัญ
• ยังอาจไม่มีอาการชัดเจน
• ค่าตับ AST, ALT มักสูงขึ้น
• บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลียง่าย หรือแน่นชายโครงขวา
• การตรวจทางพยาธิวิทยา (กรณีจำเป็น) ใช้ยืนยันการวินิจฉัย
การดูแลในระยะนี้
• ควบคุมอาหารและน้ำหนักอย่างจริงจัง
• ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
• แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยากลุ่มลดการอักเสบในบางราย
• ตรวจติดตามค่าตับและความเปลี่ยนแปลงของเนื้อตับทุก 3–6 เดือน
ระยะที่ 3: พังผืดในตับ (Fibrosis)
หากการอักเสบดำเนินต่อเนื่อง เซลล์ตับจะเริ่มถูกแทนที่ด้วยพังผืด ตับจะทำงานได้ลดลง และมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดตับแข็ง
ลักษณะสำคัญ
• มักยังไม่มีอาการชัดเจน แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตับ
• การตรวจ Fibroscan จะช่วยบอกระดับความแข็งของตับ
• ค่า AST, ALT อาจยังสูง และมีการเปลี่ยนแปลงของค่าชีวเคมีอื่น ๆ
การดูแลในระยะนี้
• ต้องพบแพทย์เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง
• ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน
• พิจารณาการรักษาด้วยยาเฉพาะทางร่วมกับการปรับพฤติกรรม
• ตรวจติดตามพังผืดและภาวะแทรกซ้อนของตับทุก 3–6 เดือน
ระยะที่ 4: ตับแข็ง (Cirrhosis)
เป็นระยะสุดท้ายของไขมันพอกตับ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ตับจะสูญเสียการทำงานบางส่วน และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ลักษณะสำคัญ
• อาจมีอาการบวม ท้องมาน ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือเลือดออกง่าย
• ความดันในตับสูง เสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดดำหลอดอาหารโป่งพอง
• ต้องตรวจติดตามความเสี่ยงของมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลในระยะนี้
• อยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด
• อาจต้องใช้ยาเฉพาะทาง วางแผนการรักษาระยะยาว
• ตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำ เช่น อัลตราซาวด์ ตรวจ AFP ทุก 6 เดือน
• หากเข้าสู่ภาวะตับวาย อาจต้องพิจารณาการปลูกถ่ายตับ
ตรวจระยะของโรคได้อย่างไร?
การประเมินระยะของไขมันพอกตับ ไม่สามารถดูจากอาการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้การตรวจร่วมหลายอย่าง เช่น
• ตรวจเลือด: ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) ค่าชีวเคมีในเลือด
• อัลตราซาวด์ตับ: ดูความหนาแน่นของเนื้อตับ
• FibroScan: วัดความแข็งของตับ (บ่งชี้การเกิดพังผืด)
• ตรวจชิ้นเนื้อตับ: ใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นมาก และต้องการการวินิจฉัยชัดเจน
รู้ระยะไว วางแผนรักษาได้ตรงจุด
ไขมันพอกตับไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองด้วยความกลัว การเข้าใจว่าคุณอยู่ในระยะใดของโรค จะช่วยให้สามารถดูแลและวางแผนรักษาได้เหมาะสม และยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติได้ง่ายขึ้น
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
หลายคนรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อ
ต้องรักษาหรือยัง? อันตรายมากน้อยแค่ไหน?
คำตอบขึ้นอยู่กับว่า ไขมันที่สะสมในตับอยู่ในระยะใดของโรค
บทความนี้หมอจะอธิบายให้เข้าใจว่า ไขมันพอกตับมีทั้งหมดกี่ระยะ และแต่ละระยะควรดูแลหรือรักษาอย่างไร
ระยะที่ 1: ไขมันสะสมในตับ (Simple Steatosis)
เป็นระยะแรกเริ่มของโรคไขมันพอกตับ ร่างกายมีการสะสมไขมันในเซลล์ตับมากกว่า 5% โดยยังไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือพังผืด
ลักษณะสำคัญ
• ยังไม่มีอาการ
• พบได้จากการตรวจอัลตราซาวด์หรือการตรวจสุขภาพประจำปี
• ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) มักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
• การตรวจ FibroScan หรือ การตรวจทางพยาธิวิทยา (กรณีจำเป็น) ใช้ยืนยันการวินิจฉัย
การดูแลในระยะนี้
• ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยา
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
• ลดอาหารหวาน มัน แปรรูป
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• ตรวจติดตามค่า AST, ALT และอัลตราซาวด์เป็นระยะ
ระยะที่ 2: ตับอักเสบจากไขมัน (NASH – Non-Alcoholic Steatohepatitis)
ในระยะนี้ ไขมันที่สะสมเริ่มกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ หากปล่อยไว้อาจพัฒนาเป็นพังผืดในตับได้
ลักษณะสำคัญ
• ยังอาจไม่มีอาการชัดเจน
• ค่าตับ AST, ALT มักสูงขึ้น
• บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลียง่าย หรือแน่นชายโครงขวา
• การตรวจทางพยาธิวิทยา (กรณีจำเป็น) ใช้ยืนยันการวินิจฉัย
การดูแลในระยะนี้
• ควบคุมอาหารและน้ำหนักอย่างจริงจัง
• ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
• แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยากลุ่มลดการอักเสบในบางราย
• ตรวจติดตามค่าตับและความเปลี่ยนแปลงของเนื้อตับทุก 3–6 เดือน
ระยะที่ 3: พังผืดในตับ (Fibrosis)
หากการอักเสบดำเนินต่อเนื่อง เซลล์ตับจะเริ่มถูกแทนที่ด้วยพังผืด ตับจะทำงานได้ลดลง และมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดตับแข็ง
ลักษณะสำคัญ
• มักยังไม่มีอาการชัดเจน แต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตับ
• การตรวจ Fibroscan จะช่วยบอกระดับความแข็งของตับ
• ค่า AST, ALT อาจยังสูง และมีการเปลี่ยนแปลงของค่าชีวเคมีอื่น ๆ
การดูแลในระยะนี้
• ต้องพบแพทย์เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง
• ควบคุมโรคร่วม เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน
• พิจารณาการรักษาด้วยยาเฉพาะทางร่วมกับการปรับพฤติกรรม
• ตรวจติดตามพังผืดและภาวะแทรกซ้อนของตับทุก 3–6 เดือน
ระยะที่ 4: ตับแข็ง (Cirrhosis)
เป็นระยะสุดท้ายของไขมันพอกตับ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ตับจะสูญเสียการทำงานบางส่วน และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ลักษณะสำคัญ
• อาจมีอาการบวม ท้องมาน ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือเลือดออกง่าย
• ความดันในตับสูง เสี่ยงต่อภาวะเส้นเลือดดำหลอดอาหารโป่งพอง
• ต้องตรวจติดตามความเสี่ยงของมะเร็งตับอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลในระยะนี้
• อยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด
• อาจต้องใช้ยาเฉพาะทาง วางแผนการรักษาระยะยาว
• ตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำ เช่น อัลตราซาวด์ ตรวจ AFP ทุก 6 เดือน
• หากเข้าสู่ภาวะตับวาย อาจต้องพิจารณาการปลูกถ่ายตับ
ตรวจระยะของโรคได้อย่างไร?
การประเมินระยะของไขมันพอกตับ ไม่สามารถดูจากอาการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้การตรวจร่วมหลายอย่าง เช่น
• ตรวจเลือด: ค่าการทำงานของตับ (AST, ALT) ค่าชีวเคมีในเลือด
• อัลตราซาวด์ตับ: ดูความหนาแน่นของเนื้อตับ
• FibroScan: วัดความแข็งของตับ (บ่งชี้การเกิดพังผืด)
• ตรวจชิ้นเนื้อตับ: ใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นมาก และต้องการการวินิจฉัยชัดเจน
รู้ระยะไว วางแผนรักษาได้ตรงจุด
ไขมันพอกตับไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองด้วยความกลัว การเข้าใจว่าคุณอยู่ในระยะใดของโรค จะช่วยให้สามารถดูแลและวางแผนรักษาได้เหมาะสม และยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติได้ง่ายขึ้น
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 02/08/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. วราวุฒิ บูรณวุฒิ

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร