กินยาอะไรดี? ยาลดกรด VS ยาควบคุมกรด ใช้ต่างกันยังไง
 ถ้าคุณเคยมีอาการแสบกลางอก เรอบ่อย เสียงแหบตอนเช้า แล้วเลือกใช้ “ยาลดกรด” หรือ “ยาควบคุมกรด” เองจากคำแนะนำในอินเทอร์เน็ต หรือจากคนรอบตัว แต่ใช้ไปแล้ว…ก็ยังไม่ดีขึ้นสักที บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของ “ยารักษากรดไหลย้อน” ได้ง่ายขึ้น พร้อมคำแนะนำว่า…แบบไหนเหมาะกับอาการแบบคุณ
ตัวอย่างยา Gaviscon, Algycon
ตัวอย่างยา
แม้ยาจะหาซื้อได้ง่ายในร้านขายยา แต่การใช้โดยไม่มีแพทย์ประเมิน อาจทำให้...
“ยาทุกชนิดมีบทบาทต่างกัน ไม่ใช่แค่ชื่อที่ต่าง แต่ต้องใช้ในเวลาที่เหมาะกับอาการและร่างกายของแต่ละคน และที่สำคัญ ต้องรู้ว่าอาการนั้นเกิดจาก ‘กรดไหลย้อนจริง ๆ’ หรืออาจมีโรคอื่นร่วมด้วย”
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ยากลุ่มต่าง ๆ ที่ใช้รักษากรดไหลย้อน
อาการกรดไหลย้อนมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น แสบร้อนกลางอกหลังอาหารไปจนถึงอาการเรื้อรัง เช่น ไอแห้งเรื้อรัง เสียงแหบ กลืนลำบาก ยาแต่ละชนิดจะเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และควรใช้ให้เหมาะกับอาการจริง ๆ1. ยาป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหาร: ออกฤทธิ์เร็ว ใช้บรรเทาเฉพาะหน้า
สลับชั้นเจลลอยตัวอยู่เหนือของเหลวในกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ช่วยให้อาการดีขึ้นทันที เหมาะสำหรับใช้เมื่อมีอาการเฉียบพลัน เช่น เรอเปรี้ยว แสบร้อนกลางอกหลังมื้ออาหารตัวอย่างยา Gaviscon, Algycon
- Sodium alginate
 - Sodium bicarbonate
 - Calcium carbonate
 
- ออกฤทธิ์เร็ว แต่ไม่รักษาสาเหตุที่แท้จริง
 - อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย หรือท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน
 
2. ยาลดการหลั่งกรดกลุ่ม H2 Blockers ช่วยลดการหลั่งกรดจากกระเพาะอาหาร
ตัวอย่างยา- Famotidine
 - (ชื่อเดิมในกลุ่มนี้ เช่น Ranitidine เคยใช้แพร่หลาย แต่ถูกถอนออกในหลายประเทศแล้ว)
 
- ใช้เพื่อควบคุมอาการระยะสั้น
 - อาจเกิดดื้อยาได้หากใช้ต่อเนื่องนานเกินไป
 - ลดการหลั่งได้ระดับหนึ่ง
 
3. ยาควบคุมกรดกลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs)
กลุ่มยาหลักที่ใช้ในการรักษากรดไหลย้อนเรื้อรัง ช่วยยับยั้งการสร้างกรดจากต้นทาง จึงมีประสิทธิภาพสูง และออกฤทธิ์ได้ยาวนานตัวอย่างยา
- Omeprazole
 - Esomeprazole
 - Pantoprazole
 - Lansoprazole
 - Rabeprazole
 
- ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น เป็นมากกว่า 2–3 ครั้ง/สัปดาห์
 - ต้องกินต่อเนื่องอย่างมีแผน หยุดกินเองทันทีอาจทำให้อาการแย่ลง
 - ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อประเมินระยะเวลาที่เหมาะสม
 
ใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผลจริง
แม้ยาจะหาซื้อได้ง่ายในร้านขายยา แต่การใช้โดยไม่มีแพทย์ประเมิน อาจทำให้...- รักษาไม่ตรงสาเหตุ
 - ได้ผลไม่เต็มที่
 - ใช้ยาซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น
 - มีผลข้างเคียง เช่น แร่ธาตุผิดปกติ หรือกระดูกพรุนหากใช้ PPIs นานเกินไป
 
“ยาทุกชนิดมีบทบาทต่างกัน ไม่ใช่แค่ชื่อที่ต่าง แต่ต้องใช้ในเวลาที่เหมาะกับอาการและร่างกายของแต่ละคน และที่สำคัญ ต้องรู้ว่าอาการนั้นเกิดจาก ‘กรดไหลย้อนจริง ๆ’ หรืออาจมีโรคอื่นร่วมด้วย”
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
	    				วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 21/09/2025
	    	
				    แพทย์ผู้เขียน
นพ. ฉัตรชัย เกรียงกิรากูร
ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร
							
						
 
                    


								    
  

