• banner

“หมอจะรักษายังไง?” เข้าใจทางเลือกการรักษามะเร็งตับแบบไม่ซับซ้อน เจาะลึกแต่เข้าใจง่าย เพื่อผู้ป่วยและครอบครัวได้วางแผนอย่างมั่นใจ

เมื่อได้ยินคำว่า “มะเร็งตับ” คำถามที่มักตามมาทันทีคือ “แล้วเราจะรักษาอย่างไรดี?” เพราะวิธีการรักษามะเร็งตับนั้นมีหลายแบบ และแต่ละแบบเหมาะกับผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกาย ระยะโรค และเป้าหมายการรักษาที่แตกต่างกัน

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจทางเลือกการรักษาหลัก ๆ ที่แพทย์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งตับ อธิบายอย่างไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวใช้ประกอบการตัดสินใจร่วมกับทีมแพทย์ได้อย่างมั่นใจ

แนวทางการรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับอะไร?
การวางแผนรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
    • ชนิดและขนาดของก้อนมะเร็ง
    • ตำแหน่งของก้อนในตับ
    • จำนวนก้อนและระยะของโรค
    • สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และ การทำงานของตับ
แพทย์จะประเมินข้อมูลทั้งหมดเพื่อเลือกวิธีที่ “ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด” สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

วิธีการรักษามะเร็งตับที่ควรรู้
1. การผ่าตัดตับ (Liver Resection)
เหมาะกับผู้ที่มีก้อนมะเร็งขนาดไม่ใหญ่มาก และอยู่ในตำแหน่งที่สามารถผ่าออกได้ โดยที่การทำงานของตับยังดี
- ข้อดี: เป็นการ “เอาก้อนมะเร็งออกโดยตรง” หากตรวจไม่พบมะเร็งที่อื่น มีโอกาสหายขาด
- ข้อจำกัด: ไม่เหมาะกับผู้ที่ตับเสื่อมมาก หรือก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าออกลำบาก

2. การฉีดยาเคมีบำบัดเฉพาะที่ (TACE: Transarterial Chemoembolization)
คือการฉีดยาเคมีเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง โดยตรง แล้วปิดเส้นเลือดนั้น เพื่อให้มะเร็งขาดเลือด
- ข้อดี: เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่ยังควบคุมโรคเฉพาะในตับ
- มักใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ และต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

3. การจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยคลื่นความร้อน (RFA: Radiofrequency Ablation)
ใช้ความร้อนสูง (ผ่านเข็มขนาดเล็ก) จี้ทำลายเซลล์มะเร็งในตับ
- ข้อดี: เหมาะกับก้อนมะเร็งขนาดเล็ก (ไม่เกิน 3–5 ซม.) และอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้
- เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ฟื้นตัวเร็ว

4. การใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติมากเท่าเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม
- ข้อดี: ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง โดยเฉพาะในระยะลุกลาม
- อาจมีผลข้างเคียง เช่น ความดันสูง เลือดออกง่าย ผื่น ฯลฯ และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

5. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้จดจำและทำลายเซลล์มะเร็ง
- ข้อดี: เป็นแนวทางใหม่ที่ให้ผลดีในบางผู้ป่วย โดยเฉพาะในระยะลุกลาม
- ยังมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย และแพทย์จะประเมินเป็นรายกรณี

6. การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplantation)
เปลี่ยนตับใหม่ทั้งก้อนจากผู้บริจาคที่เข้ากันได้ ใช้ในผู้ที่มีทั้งมะเร็งตับและภาวะตับวายร่วมด้วย และตรงตามเกณฑ์ทางการแพทย์
- ข้อดี: รักษาโรคตับและมะเร็งไปพร้อมกัน
- ต้องรอผู้บริจาค และต้องกินยากดภูมิหลังการปลูกถ่ายตลอดชีวิต

แล้วหมอจะเลือกวิธีไหนให้คนไข้?
คำตอบคือ: ขึ้นอยู่กับระยะของโรค, สุขภาพของตับ, และร่างกายของคนไข้โดยรวม
บางครั้งอาจใช้ “หลายวิธีร่วมกัน” เพื่อควบคุมโรคให้ดีที่สุด เช่น TACE ตามด้วย RFA หรือให้ยามุ่งเป้าในระยะลุกลาม สิ่งสำคัญคือการสื่อสารกับแพทย์ให้ชัดเจน วางแผนร่วมกัน และเข้าใจทางเลือกที่มี

การรักษามะเร็งตับ “ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน” เสมอไป
เมื่อเข้าใจหลักการและทางเลือก คุณจะเห็นว่า แพทย์ไม่ได้เลือกแบบใดแบบหนึ่งแบบตายตัว แต่จะเลือกสิ่งที่เหมาะกับ “ตัวคุณ” มากที่สุด

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 03/08/2025

แพทย์ผู้เขียน

นพ. ภูริกร เฟื่องวรรธนะ

img

ความถนัดเฉพาะทาง

แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร

ความถนัดเฉพาะทางอื่น

-

ภาษาสื่อสาร

ไทย, อังกฤษ

ติดต่อเรา