ถ่ายเป็นเลือด ปวดท้องบ่อย…ระวังอาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่รู้ตัว
อาการบางอย่างที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เช่น ถ่ายเป็นเลือด ปวดท้องเป็นช่วง ๆ หรือรู้สึกว่า “ถ่ายไม่สุด” อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องของริดสีดวงหรือระบบย่อยอาหารทั่วไป แต่ในความเป็นจริง อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ “มะเร็งลำไส้ใหญ่” ที่กำลังพัฒนาขึ้นเงียบ ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะหากคุณมีอายุเกิน 40 ปี หรือมีประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคนี้ บทความนี้จะพาคุณรู้จักอาการที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมแนวทางวินิจฉัยและการรักษาที่ทันสมัย ซึ่งหากรู้ทันตั้งแต่ระยะแรก โอกาสหายก็มีสูงมาก
ทำไมหลายคนจึงเข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่น?
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรก มักคล้ายโรคทางเดินอาหารทั่วไป เช่น ริดสีดวงทวาร ลำไส้แปรปรวน หรืออาหารไม่ย่อย จึงทำให้หลายคนชะล่าใจ คิดว่าไม่น่าเป็นอะไรร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่รุนแรงในช่วงแรก สิ่งสำคัญคือ อย่าละเลยอาการเรื้อรัง หรืออาการที่เปลี่ยนไปจากปกติ เพราะแม้จะเป็นแค่อาการที่เคยชิน แต่หากเป็นบ่อย ๆ และไม่เคยตรวจ อาจพลาดการพบโรคตั้งแต่ต้นได้
วิธีสังเกตอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
ลองเช็กตัวเองดูว่า มีอาการเหล่านี้หรือไม่
• ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระมีเลือดปน
• ปวดท้องซ้ำ ๆ โดยเฉพาะบริเวณล่างซ้ายของหน้าท้อง
• รู้สึกว่าถ่ายไม่สุด หรือยังแน่นท้องแม้เพิ่งเข้าห้องน้ำ
• มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะการขับถ่าย เช่น จากที่เคยถ่ายปกติ กลายเป็นถ่ายเหลวหรือท้องผูกสลับกัน
• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออ่อนเพลียโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
หากมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่อง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโดยเร็วที่สุด
การตรวจวินิจฉัย
เมื่อสงสัยว่าอาจมีความเสี่ยง แพทย์จะพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม เช่น
• การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยกล้อง (Colonoscopy): เป็นวิธีมาตรฐานในการดูความผิดปกติของเยื่อบุลำไส้ และสามารถตัดติ่งเนื้อที่อาจเป็นมะเร็งระยะเริ่มต้นได้
• การตรวจเลือดหรืออุจจาระ: ใช้เพื่อคัดกรองเบื้องต้นว่ามีเลือดซ่อนอยู่ในอุจจาระหรือไม่
• การตรวจเอกซเรย์หรือ CT Scan: ใช้เพื่อประเมินความรุนแรงและการกระจายของโรค
ทางเลือกการรักษาในปัจจุบัน
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยทั่วไปมีทางเลือก ดังนี้
• การผ่าตัด เป็นแนวทางหลักในการรักษาเมื่อตรวจพบในระยะเริ่มต้น โดยปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว
• การทำเคมีบำบัด ใช้ร่วมกับการผ่าตัดในกรณีที่โรคลุกลาม หรือเพื่อลดขนาดก้อนเนื้อก่อนผ่าตัด
• การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) สำหรับบางรายที่มีลักษณะยีนเฉพาะ หรือในระยะลุกลาม โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา
ข้อแนะนำจากแพทย์
อย่ารอให้อาการรุนแรงแล้วค่อยมาตรวจ เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายมีสูงมาก หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการที่กล่าวมา หรือมีอายุเกิน 45 ปี และยังไม่เคยตรวจคัดกรอง แนะนำให้เข้ารับการตรวจลำไส้ใหญ่กับแพทย์เฉพาะทาง
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ทำไมหลายคนจึงเข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่น?
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรก มักคล้ายโรคทางเดินอาหารทั่วไป เช่น ริดสีดวงทวาร ลำไส้แปรปรวน หรืออาหารไม่ย่อย จึงทำให้หลายคนชะล่าใจ คิดว่าไม่น่าเป็นอะไรร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่รุนแรงในช่วงแรก สิ่งสำคัญคือ อย่าละเลยอาการเรื้อรัง หรืออาการที่เปลี่ยนไปจากปกติ เพราะแม้จะเป็นแค่อาการที่เคยชิน แต่หากเป็นบ่อย ๆ และไม่เคยตรวจ อาจพลาดการพบโรคตั้งแต่ต้นได้
วิธีสังเกตอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
ลองเช็กตัวเองดูว่า มีอาการเหล่านี้หรือไม่
• ถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระมีเลือดปน
• ปวดท้องซ้ำ ๆ โดยเฉพาะบริเวณล่างซ้ายของหน้าท้อง
• รู้สึกว่าถ่ายไม่สุด หรือยังแน่นท้องแม้เพิ่งเข้าห้องน้ำ
• มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะการขับถ่าย เช่น จากที่เคยถ่ายปกติ กลายเป็นถ่ายเหลวหรือท้องผูกสลับกัน
• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออ่อนเพลียโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
หากมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่อง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโดยเร็วที่สุด
การตรวจวินิจฉัย
เมื่อสงสัยว่าอาจมีความเสี่ยง แพทย์จะพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม เช่น
• การตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยกล้อง (Colonoscopy): เป็นวิธีมาตรฐานในการดูความผิดปกติของเยื่อบุลำไส้ และสามารถตัดติ่งเนื้อที่อาจเป็นมะเร็งระยะเริ่มต้นได้
• การตรวจเลือดหรืออุจจาระ: ใช้เพื่อคัดกรองเบื้องต้นว่ามีเลือดซ่อนอยู่ในอุจจาระหรือไม่
• การตรวจเอกซเรย์หรือ CT Scan: ใช้เพื่อประเมินความรุนแรงและการกระจายของโรค
ทางเลือกการรักษาในปัจจุบัน
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยทั่วไปมีทางเลือก ดังนี้
• การผ่าตัด เป็นแนวทางหลักในการรักษาเมื่อตรวจพบในระยะเริ่มต้น โดยปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว
• การทำเคมีบำบัด ใช้ร่วมกับการผ่าตัดในกรณีที่โรคลุกลาม หรือเพื่อลดขนาดก้อนเนื้อก่อนผ่าตัด
• การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) สำหรับบางรายที่มีลักษณะยีนเฉพาะ หรือในระยะลุกลาม โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา
ข้อแนะนำจากแพทย์
อย่ารอให้อาการรุนแรงแล้วค่อยมาตรวจ เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ หากตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายมีสูงมาก หากคุณหรือคนในครอบครัวมีอาการที่กล่าวมา หรือมีอายุเกิน 45 ปี และยังไม่เคยตรวจคัดกรอง แนะนำให้เข้ารับการตรวจลำไส้ใหญ่กับแพทย์เฉพาะทาง
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 02/08/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. ภูริกร เฟื่องวรรธนะ

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร