อย่ารอให้โรคไขมันพอกตับลุกลาม…จนกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า... ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) เป็นจุดเริ่มต้นของโรคตับที่อันตรายกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมื่อปล่อยให้ไขมันสะสมอยู่ในตับนาน ๆ โดยไม่ตรวจติดตามหรือดูแลอย่างเหมาะสม
ในระยะแรก ไขมันพอกตับมักไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบจากผลเลือดที่ “ค่าการทำงานของตับ” สูง หรือพบว่า “มีไขมันเกาะตับ” จากอัลตราซาวด์ จึงเข้าใจผิดว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าห่วง เพราะยังรู้สึกแข็งแรงดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์ตับจะเริ่มอักเสบ เกิดพังผืดในเนื้อตับ และอาจลุกลามเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ในที่สุด
จาก “ไขมันพอกตับ” ลุกลามสู่โรคร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม
การสะสมไขมันในตับไม่ได้หยุดแค่ “ไขมันเกาะตับ” หากไม่มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง โรคจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นลำดับขั้นดังนี้
1.ไขมันพอกตับ (NAFLD)
• ไขมันเริ่มสะสมในเซลล์ตับมากกว่า 5–10%
• ตับยังอาจทำงานได้ตามปกติ
• มักตรวจพบโดยบังเอิญจากผลเลือด (AST, ALT) หรืออัลตราซาวด์
2.ตับอักเสบจากไขมัน (NASH)
• ไขมันสะสมกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ
• เซลล์ตับเริ่มถูกทำลาย ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตับ
3.พังผืดในตับ (Fibrosis)
• ตับเริ่มสร้างพังผืดขึ้นเพื่อซ่อมแซม
• พังผืดทำให้เนื้อตับแข็งตัว และการไหลเวียนเลือดในตับลดลง
4.ตับแข็ง (Cirrhosis)
• โครงสร้างของตับเปลี่ยนไปถาวร
• เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับวาย เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือของเหลวคั่งในช่องท้อง
5.มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma)
• เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายเรื้อรัง อาจกลายพันธุ์จนกลายเป็นมะเร็ง
• โดยเฉพาะในผู้ที่มีตับแข็งและไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
โรคเหล่านี้ อาจไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า และมักถูกพบเมื่อเข้าสู่ระยะที่ตับเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว
ควรเริ่มต้นดูแลตับอย่างไร?
หากคุณเพิ่งรู้ว่ามีภาวะไขมันพอกตับ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง หมอขอแนะนำแนวทางที่เริ่มต้นได้ทันที
• ตรวจเลือด (AST, ALT) เพื่อติดตามค่าการทำงานของตับ
• ตรวจ FibroScan ประเมินปริมาณไขมันและพังผืดในตับ
• ลดอาหารเสี่ยง เช่น ของทอด น้ำตาลสูง และแอลกอฮอล์
• พักผ่อนให้เพียงพอ และเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ
• ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวางแผนดูแลที่เหมาะกับสุขภาพของคุณ
ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสดูแลได้ทัน
ไขมันพอกตับอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนในวันนี้ แต่หากปล่อยไว้…ก็อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงในวันข้างหน้า
เพราะ “ตับ” เป็นอวัยวะที่ไม่ส่งสัญญาณเตือนชัดเจน
แต่หากเริ่มดูแลได้เร็ว ก็ยังสามารถฟื้นฟูการทำงานของตับกลับมาได้
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ในระยะแรก ไขมันพอกตับมักไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบจากผลเลือดที่ “ค่าการทำงานของตับ” สูง หรือพบว่า “มีไขมันเกาะตับ” จากอัลตราซาวด์ จึงเข้าใจผิดว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าห่วง เพราะยังรู้สึกแข็งแรงดี
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์ตับจะเริ่มอักเสบ เกิดพังผืดในเนื้อตับ และอาจลุกลามเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ในที่สุด
จาก “ไขมันพอกตับ” ลุกลามสู่โรคร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม
การสะสมไขมันในตับไม่ได้หยุดแค่ “ไขมันเกาะตับ” หากไม่มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง โรคจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นลำดับขั้นดังนี้
1.ไขมันพอกตับ (NAFLD)
• ไขมันเริ่มสะสมในเซลล์ตับมากกว่า 5–10%
• ตับยังอาจทำงานได้ตามปกติ
• มักตรวจพบโดยบังเอิญจากผลเลือด (AST, ALT) หรืออัลตราซาวด์
2.ตับอักเสบจากไขมัน (NASH)
• ไขมันสะสมกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในเซลล์ตับ
• เซลล์ตับเริ่มถูกทำลาย ส่งผลต่อประสิทธิภาพของตับ
3.พังผืดในตับ (Fibrosis)
• ตับเริ่มสร้างพังผืดขึ้นเพื่อซ่อมแซม
• พังผืดทำให้เนื้อตับแข็งตัว และการไหลเวียนเลือดในตับลดลง
4.ตับแข็ง (Cirrhosis)
• โครงสร้างของตับเปลี่ยนไปถาวร
• เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับวาย เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือของเหลวคั่งในช่องท้อง
5.มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma)
• เมื่อเซลล์ตับถูกทำลายเรื้อรัง อาจกลายพันธุ์จนกลายเป็นมะเร็ง
• โดยเฉพาะในผู้ที่มีตับแข็งและไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
โรคเหล่านี้ อาจไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า และมักถูกพบเมื่อเข้าสู่ระยะที่ตับเสียหายอย่างรุนแรงแล้ว
ควรเริ่มต้นดูแลตับอย่างไร?
หากคุณเพิ่งรู้ว่ามีภาวะไขมันพอกตับ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง หมอขอแนะนำแนวทางที่เริ่มต้นได้ทันที
• ตรวจเลือด (AST, ALT) เพื่อติดตามค่าการทำงานของตับ
• ตรวจ FibroScan ประเมินปริมาณไขมันและพังผืดในตับ
• ลดอาหารเสี่ยง เช่น ของทอด น้ำตาลสูง และแอลกอฮอล์
• พักผ่อนให้เพียงพอ และเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ
• ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวางแผนดูแลที่เหมาะกับสุขภาพของคุณ
ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งมีโอกาสดูแลได้ทัน
ไขมันพอกตับอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนในวันนี้ แต่หากปล่อยไว้…ก็อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงในวันข้างหน้า
เพราะ “ตับ” เป็นอวัยวะที่ไม่ส่งสัญญาณเตือนชัดเจน
แต่หากเริ่มดูแลได้เร็ว ก็ยังสามารถฟื้นฟูการทำงานของตับกลับมาได้
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 01/08/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. วราวุฒิ บูรณวุฒิ

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร