มะเร็งลำไส้ใหญ่…ไม่ได้ส่งผลแค่ลำไส้ แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ต้องระวัง
เมื่อพูดถึง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” หลายคนมักนึกถึงอาการผิดปกติของระบบขับถ่าย เช่น ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูกเรื้อรัง หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด ซึ่งแม้จะเป็นอาการบ่งบอกที่สำคัญ แต่ในความเป็นจริง มะเร็งชนิดนี้อาจส่งผลกระทบลุกลามมากกว่าที่คิด หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า หากปล่อยให้มะเร็งลำไส้ใหญ่ดำเนินโรคโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ “ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง” ที่อันตรายและอาจต้องรักษาแบบเร่งด่วน
มะเร็งลำไส้ใหญ่คืออะไร?
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer) คือมะเร็งที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง ซึ่งอาจเริ่มจากติ่งเนื้อเล็ก ๆ (โพลิป) ที่กลายเป็นเนื้อร้ายเมื่อเวลาผ่านไป โดยผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ ในช่วงแรก ทำให้การตรวจพบมักล่าช้า และเพิ่มโอกาสของภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากมะเร็งลำไส้ใหญ่
เมื่อมะเร็งลุกลาม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและโอกาสรอดชีวิตได้ ดังนี้
1. ลำไส้อุดตัน (Bowel Obstruction)
เนื้องอกที่โตขึ้นอาจอุดกั้นทางเดินของอุจจาระ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดมาก ปวดบิดรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และไม่สามารถถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ ซึ่งต้องได้รับการรักษาด่วน
2. ลำไส้ทะลุ (Perforation)
เมื่อผนังลำไส้บางลงหรือถูกเนื้องอกทำลาย อาจเกิดการทะลุ ทำให้มีการรั่วของของเสียจากลำไส้เข้าสู่ช่องท้อง เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงและต้องผ่าตัดฉุกเฉินทันที
3. เลือดออกภายในลำไส้ (GI Bleeding)
มะเร็งที่อยู่บริเวณลำไส้อาจทำให้มีเลือดออกจากแผล ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลียจากการเสียเลือด หรือเกิดภาวะซีดโดยไม่รู้ตัว
4. การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (Metastasis)
หากมะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด เซลล์มะเร็งอาจกระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด หรือสมอง ซึ่งส่งผลต่อการรักษาและลดอัตราการรอดชีวิตลงอย่างมาก
ตรวจให้เร็ว ป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
ข่าวดีคือมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการตรวจคัดกรองที่แพทย์แนะนำ เช่น
• การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อตรวจดูเนื้องอกหรือติ่งเนื้อที่ผิดปกติ พร้อมสามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจได้ทันที
• การตรวจอุจจาระเพื่อหาเลือดแฝง (FIT Test) เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ง่ายและปลอดภัย
หากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้น การรักษามักได้ผลดีและสามารถหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้
แนวทางการรักษา
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยอาจรวมถึง
• การผ่าตัด เพื่อนำเนื้อร้ายออกจากลำไส้
• การทำเคมีบำบัด ในกรณีที่โรคลุกลามหรือเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
• การให้ยารักษาแบบจำเพาะ (Targeted Therapy) หรือ การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ในบางกรณี
การตัดสินใจจะทำร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เพื่อให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละราย
อย่ารอให้อาการรุนแรง...ก่อนเริ่มตรวจ
ภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่แสดงอาการเด่นชัดในระยะแรก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักต้องรักษาด้วยวิธีเร่งด่วน และอาจมีผลกระทบต่อชีวิต หากคุณมีอาการผิดปกติด้านการขับถ่าย หรือมีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ ควรเข้ารับการตรวจลำไส้เป็นประจำ เพื่อให้การดูแลรักษาทำได้อย่างทันท่วงที
คำแนะนำจากแพทย์
มะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่เพียงส่งผลต่อระบบย่อยอาหารเท่านั้น แต่อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ส่งผลต่ออวัยวะอื่น หากวินิจฉัยได้เร็ว โอกาสหายขาดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า หากปล่อยให้มะเร็งลำไส้ใหญ่ดำเนินโรคโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ “ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง” ที่อันตรายและอาจต้องรักษาแบบเร่งด่วน
มะเร็งลำไส้ใหญ่คืออะไร?
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal Cancer) คือมะเร็งที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง ซึ่งอาจเริ่มจากติ่งเนื้อเล็ก ๆ (โพลิป) ที่กลายเป็นเนื้อร้ายเมื่อเวลาผ่านไป โดยผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ ในช่วงแรก ทำให้การตรวจพบมักล่าช้า และเพิ่มโอกาสของภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากมะเร็งลำไส้ใหญ่
เมื่อมะเร็งลุกลาม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและโอกาสรอดชีวิตได้ ดังนี้
1. ลำไส้อุดตัน (Bowel Obstruction)
เนื้องอกที่โตขึ้นอาจอุดกั้นทางเดินของอุจจาระ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดมาก ปวดบิดรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน และไม่สามารถถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ ซึ่งต้องได้รับการรักษาด่วน
2. ลำไส้ทะลุ (Perforation)
เมื่อผนังลำไส้บางลงหรือถูกเนื้องอกทำลาย อาจเกิดการทะลุ ทำให้มีการรั่วของของเสียจากลำไส้เข้าสู่ช่องท้อง เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงและต้องผ่าตัดฉุกเฉินทันที
3. เลือดออกภายในลำไส้ (GI Bleeding)
มะเร็งที่อยู่บริเวณลำไส้อาจทำให้มีเลือดออกจากแผล ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลียจากการเสียเลือด หรือเกิดภาวะซีดโดยไม่รู้ตัว
4. การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (Metastasis)
หากมะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือด เซลล์มะเร็งอาจกระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด หรือสมอง ซึ่งส่งผลต่อการรักษาและลดอัตราการรอดชีวิตลงอย่างมาก
ตรวจให้เร็ว ป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
ข่าวดีคือมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการตรวจคัดกรองที่แพทย์แนะนำ เช่น
• การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เพื่อตรวจดูเนื้องอกหรือติ่งเนื้อที่ผิดปกติ พร้อมสามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจได้ทันที
• การตรวจอุจจาระเพื่อหาเลือดแฝง (FIT Test) เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ง่ายและปลอดภัย
หากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้น การรักษามักได้ผลดีและสามารถหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้
แนวทางการรักษา
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยอาจรวมถึง
• การผ่าตัด เพื่อนำเนื้อร้ายออกจากลำไส้
• การทำเคมีบำบัด ในกรณีที่โรคลุกลามหรือเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
• การให้ยารักษาแบบจำเพาะ (Targeted Therapy) หรือ การใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ในบางกรณี
การตัดสินใจจะทำร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เพื่อให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละราย
อย่ารอให้อาการรุนแรง...ก่อนเริ่มตรวจ
ภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่แสดงอาการเด่นชัดในระยะแรก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักต้องรักษาด้วยวิธีเร่งด่วน และอาจมีผลกระทบต่อชีวิต หากคุณมีอาการผิดปกติด้านการขับถ่าย หรือมีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ ควรเข้ารับการตรวจลำไส้เป็นประจำ เพื่อให้การดูแลรักษาทำได้อย่างทันท่วงที
คำแนะนำจากแพทย์
มะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่เพียงส่งผลต่อระบบย่อยอาหารเท่านั้น แต่อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ส่งผลต่ออวัยวะอื่น หากวินิจฉัยได้เร็ว โอกาสหายขาดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
โทร. 0-2265-7777
ศูนย์รักษา: ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
วัน/เดือน/ปี ที่โพสต์: 02/08/2025
แพทย์ผู้เขียน
นพ. ภูริกร เฟื่องวรรธนะ

ความถนัดเฉพาะทาง
แพทย์ทางด้านโรคระบบทางเดินอาหาร